แอล.พี.เอ็น.'หนีตลาด1-3ล.เดือด +เปิดตลาดคอนโดฯแสนถูก 5-6 แสน/พัฒนาเป็นชุมชนขนาดเล็ก3-4พันยูนิตสร้างรายได้ระยะยาว |
|
เจ้าพ่อคอนโดกลางเมือง "แอล.พี.เอ็น. ดิ้นหนีตลาดคอนโดฯราคาล้านเศษแข่งเดือด! เปิดโปรดักต์ใหม่คอนโดฯยูนิตละ 6-7 แสนบาท พัฒนาเป็นชุมชนขนาดเล็กหวังกินยาวเจาะตลาดอพาร์ตจเม้นท์ และหอพัก ยึดทำเลรามคำแหง 32 ไร่ ปักธงรบผุด 3,500-4,000 ยูนิต คาดสร้างไม่ทันขาย ใช้จุดแข็งด้าน "บริหารชุมชน-ระบบก่อสร้างที่เร็ว ส่วนค่าย "พฤกษา" ขอแชร์ตลาดบ้าง กระจายทุกทำเลประเดิมย่านเทพารักษ์ขายแล้ว 350 ยูนิตราคา 5-6 แสนบาท/ยูนิต พร้อมเจาะโซนลาดพร้าวต่อ
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดบริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" สถานการณ์ตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มซบเซาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่เซ็กเตอร์คอนโดมิเนียมกลางเมืองเกาะแนวรถไฟฟ้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง และมีทมิศทางการแข่งขันรุนแรงขึ้น มีบริษัทพัฒนาที่ดินรายเล็ก รายใหญ่ให้ความสนใจปรับนโยบายลงมาแข่งขันตลาดนี้มากขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าว บริษัทได้ประเมินสถานการณ์ไว้แล้วโดยการปรับโปรดักต์สินค้าใหม่เป็นครั้งแรกหลังวิกฤติเศรษฐกิจเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม โปรดักต์สินค้าที่มีการปรับใหม่ครั้งนี้ จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 6-7 แสนบาทต่อยูนิต ซึ่งตลาดนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งของบริษัทตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทเพราะบริษัทมุ่งเน้นพัฒนาโครงการระดับราคา 4-5 แสนเป็นหลัก ในย่านแฮปปี้แลนด์หลายพันยูนิต ซึ่งผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นผู้เช่าอพาร์ทเมนต์ และหอพักอยู่ก่อน ซึ่งเป็นกำลังซื้อในตลาดจำนวนมากหลายแสนยูนิต การตัดสินใจลงตลาดนี้ถือเป็นการกลับเข้ามาในจุดแข็งเดิมของบริษัท โดยคาดว่าจะไม่มีคู่แข่ง หรือหากผู้ประกอบการรายใดที่คิดจะแข่งขันก็ต้องศึกษาและเตรียมตัวอย่างมาก
ทั้งนี้บริษัทได้ตัดสินใจซื้อที่ดิน จำนวน 2 แปลงที่อยู่ติดกัน โดยแปลงหนึ่งขนาด 28 ไร่ และอีกแปลงขนาด 4 ไร่ มีขนาดรวมกันประมาณ 32 ไร่ ในราคา 481 ล้านบาท ด้านหนึ่งจะติดถนนรามคำแหง 43/1และอีกด้านหนึ่งถนนลาดพร้าว 112 ถือว่ามีศักยภาพมาก เป็นทำเลแห่งแรกที่แอล.พี.เอ็น. เล็งไว้มานานที่จะแจ้งเกิดคอนโดฯ ราคาถูก และเชื่อว่าทำเลดังกล่าวน่าจะประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อพิจารณาศักยภาพของทำเลแล้ว รามคำแหงเป็นแหล่งชุมชนในการอยู่อาศัย มีหอพัก/อพาร์เมนท์ เกิดขึ้นเป็นร้อยๆแห่ง ดยกำหนดอัตราผ่อนชำระต่อเดือนข ไม่ต่างจากอัตราค่าเช่าหอพัก กำลังซื้อก็จะเป็นการเช่ามาเป็นการซื้อแทน
นายโอภาส กล่าวต่อว่า รูปแบบอาคารมีขนาดความสูง 5 ชั้น และ 8 ชั้น จำนวน 20 อาคาร มีจำนวนยูนิตรวมทั้งสิ้น 3,500-4,000 ยูนิต ขนาดพื้นที่ต่อยูนิต 25-28 ตารางเมตร จะเปิดขายในต้นปีหน้า มีมูลค่าโครงการประมาณ 2,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์รายใดเข้ามาพัฒนาเลย จุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถลงไปในตลาดคอนโดฯ ราคาถูกได้ก็คือจุดแข็งทางด้านงานก่อสร้างของบริษัทที่สามารถควบคุมระยะเวลาในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนด สามารถสร้างอาคารพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร จำนวน 2-3 อาคาร ให้แล้วเสร็จในระยะเวลา 9 เดือน ในขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นใช้เวลาเกือบ 2 ปี สามารถควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างไม่ให้บานปลาย และขายห้องชุดต่อยูนิตในราคาที่ถูกได้
นอกจากนี้ การบริหารชุมชนยังถือเป็นจุดแข็งอีกประการของบริษัท ที่พัฒนาโครงการแล้วยังดูแลบริหารชุมชนต่อเนื่องแม้โครงการจะขายหมดแล้วก็ตาม เป็นประสบการณืที่มีไม่มากนักในผู้ประกอบการด้วยกัน และส่งผลให้บริษัทกลายเป็นเจ้าตลาดคอนโดฯ ราคากลาง-ล่างตลอดมา
ขณะที่นายพิเชษฐ์ ศุภกิจจานุสันติ" กรรมการบริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า มาตรการที่จะมารองรับลูกค้าที่กู้ไม่ผ่าน เป็นลักษระเหมือนเช่าซื้อ แต่ไม่ใช่ โดยในเบื้องต้นหากลูกค้าเป็นผู้ที่มีวินัยการผ่อนชำระที่ดีมาตั้งแต่ครั้งที่เช่าอยู่ แอล.พี.เอ็น.อาจจะนำประวัติการชำระเงินของลูกค้ามาให้แบงก์พิจารณา ขณะเดียวกันก็จะสร้างวินัยในการผ่อนชำระอย่างตรงเวลาของลูกค้ามาประกอบการพิจารณาของแบงก์ด้วย เป้นการป้องกันปัญหาขอสินเชื่อไม่ผ่าน
ส่วนบริษัทพฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาที่ดินในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ในฐานะผู้นำตลาดทาวน์เฮ้าส์ราคาถูก ได้ตัดสินใจลงมารุกตลาดคอนโดฯ ราคาขาย 5 แสนบาทต่อยูนิตเช่นเดียวกัน โดยนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต รองกรรมการผู้จัดการบริษัทพฤกษาเรียลเอสเทต จำกัด (มหาชน) กล่าว่า บริษัทเริ่มเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกไปแล้วในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ภายใต้แบรนด์ซิตี้ วิลล์ โดยโครงการแรกอยู่ในทำเลย่านเทพารักษ์ นอกจากนี้แล้วในปี 2550 ยังมีแผนที่จะเปิดตัวคอนโดมิเนียมในราคา 5-6 แสนบาท อีก 2 โครงการในทำเลชุมชนหนาแน่น เช่น ลาดพร้าว, รามคำแหง หรือ สุขาภิบาล 3 หลังจากที่ประมาณการณ์ว่ายอดรายได้ในปีนี้ไม่น่าจะถึง 9,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งคาดว่าพฤกษาจะนำโครงการเช่า-ซื้อ มาใช้กับคอนโดฯ ราคาถูกด้วย เพราะว่ากลุ่มผู้บริโภคในระดับดังกล่าว เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการกู้ไม่ผ่านสูง เพราะหากไม่มีมาตรการรองรับ พฤกษาจะต้องเสียเวลากับการนำยูนิตกลับมาขายใหม่ ในส่วนของแอล.พี.เอ็น ก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีมาตรการหรือเครื่องมือมารองรับและขจัดปัญหานี้ให้สิ้นไป ไม่เช่นนั้นแอล.พี.เอ็น.จะต้องปวดหัวกับการนำยูนิตที่ขายไปแล้วกลับมาขายใหม่อีกครั้ง
|
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2168 23 พ.ย. - 25 พ.ย. 2549