เทสโก้ โลตัส ค้ากำไรบนซากโชว์ห่วยจนรวยติดอันดับ4ของโลก
โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ เผยเทสโก้ โลตัส ดูดเงินจากผู้บริโภคชาวไทยส่งกลับบริษัทแม่ที่อังกฤษปีละหลายหมื่นล้าน หนุนส่งให้เทสโก้ ไต่ทะยานขึ้นเป็นบริษัทร่ำรวยที่สุดอันดับสี่ของโลกในชั่วพริบตา สวนทางกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยของไทยที่ล้มตายอย่างรวดเร็วเหลือรอดไม่ถึงครึ่ง แจงประเทศในเซาท์อีสต์เอเชียล้วนควบคุมการขยายสาขาของค้าปลีกค้าส่งต่างชาติมีเพียงไทยที่ปล่อยอิสระ
ว่าที่ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ ฉายภาพให้เห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกในโลกที่ขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลกรวมถึงไทย กระทั่งส่งผลกระทบมายังผู้ประกอบการค้าปลีกในไทยมหาศาล โดยเฉพาะค้าปลีกดั้งเดิมที่อยู่คู่สังคมไทย เช่น ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว โชว์ห่วย ร้านชำ ร้านค้าเร่รวมไปถึงตลาดสด ซึ่งขณะนี้แทบทุกจังหวัดได้ร้องเรียนต่อสนช. เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ กล่าวในงานประชุมเปิดตัวจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบอาชีพอิสระของคนไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสมาพันธ์คนไทยต้านค้าปลีกต่างชาติ โดยมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินและสื่อเครือผู้จัดการให้การสนับสนุนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าธุรกิจค้าปลีกไต่ทะยานแซงหน้าธุรกิจอื่นๆ มายืนอยู่ในอันดับหนึ่งของโลกในขณะนี้
นิตยสารฟอร์จูน ฉบับเดือนกรกฎาคม พซศ. 2550 ระบุว่า บริษัทวอลล์มาร์ท กลายเป็นบริษัทธุรกิจเอกชนที่มีมียอดขายสูงสุดอันดับหนึ่งของโลกแซงหน้าบริษัทน้ำมันอย่างเอ็กซอน-โมบิล ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2549 มียอดขายรวม 351,139 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผลกำไร 11,284 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยกลยุทธ์การขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุดทั้งในเขตเมือง อำเภอ ตำบล และเจาะลึกลงถึงระดับหมู่บ้าน
แนวทางการขยายธุรกิจของวอลล์มาร์ท สหรัฐฯ ที่เริ่มต้นจากร้านเล็กๆ สู่การขยายสาขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนกลายเป็นธุรกิจการค้าใหญ่ที่สุดในโลกภายในหนึ่งชั่วอายุคน ถือเป็นต้นแบบที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเทสโก้-โลตัส, คาร์ฟูร์ ฯลฯ ดำเนินรอยตามและต่างเร่งขยายสาขาทั้งในประเทศแม่และประเทศต่างๆ ทั่วโลก
โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ กล่าวว่า หากกล่าวถึง เทสโก้-โลตัส บริษัทค้าปลีกสัญชาติอังกฤษ ซึ่งกำลังรุกขยายสาขาอย่างหนักในไทยขณะนี้ สามารถทำยอดขายจากอันดับที่ 8 ของโลก เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ผ่านมาขึ้นสู่อันดับ 4 ในปี 2549 โดยมียอดขายรวม 79,978 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ประเด็นที่น่าตกใจก็คือ สัดส่วนยอดขาย 3.7% เป็นยอดขายจากสาขาในประเทศไทย นั่นเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเทสโก้ จึงเร่งขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ว่าที่ ร.อ. จิตร์ กล่าว
ขณะที่ เจฟฟ์ อดัมส์ ประธานกรรมการบริหาร เทสโก้ โลตัส ประเทศไทย ยอมรับว่า เทสโก้ เป็นโมเดิร์นเทรดที่ครองอันดับหนึ่งในไทย และเทสโก้ ในไทย มียอดขายเป็นอันดับ 2 ของเทสโก้ในต่างประเทศ
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ได้อ้างข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ว่าเมื่อปี 2544 เทสโก้ โลตัส มีสาขาในไทย เพียง 33 สาขา ส่วนเทสโก้ โลตัส เอ็กซเพรส มีเพียง 2 แห่ง แต่เมื่อถึงปี 2549 เทสโก้ โลตัส ขยายสาขาเพิ่มเป็น 91 แห่ง ขณะที่โลตัส เอ็กซเพรส ได้เพิ่มสาขาเป็น 200 แห่ง และในปี 2550 ยังตั้งเป้าเพิ่มเป็น 118 แห่ง และ 300 แห่งตามลำดับ ซึ่งกลยุทธ์การสร้างยอดขายด้วยการขยายสาขาลงถึงระดับหมู่บ้าน เป็นการเดินตามรอยวอลล์มาร์ท
ทั้งนี้ หลังจากเครือซีพี ได้ขายหุ้นโลตัส 75% ให้กับเทสโก้ ยักษ์ค้าปลีกจากอังกฤษ เมื่อปี 2541 ในปีถัดมา เทสโก้ ได้ขยายสาขาในไทย จำนวน 24 แห่ง มียอดขายรวม 21,740 ล้านบาท จากนั้นจำนวนสาขาและยอดขายของเทสโก้ ก็ไต่อันดับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปี 2543 มียอดขาย 33,340 ล้านบาท, ปี 2544 มียอดขาย 45,087 ล้านบาท, ปี 2545 ยอดขาย 54,340 ล้านบาท, ปี 2546 ยอดขาย 64,695 ล้านบาท และปี 2547 ยอดขาย 72,736 ล้านบาท
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เทสโก้ ได้ทุ่มทุนปีละประมาณ 5,000 - 7,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อขยายสาขาให้ได้ตามเป้าหมาย ส่งผลให้เทสโก้ สามารถครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 39% ขณะที่ บิ๊กซี มีส่วนแบ่งตลาด 25% และ แมคโคร 24% ตามลำดับ
ภาพรวมการค้าปลีกค้าส่งของไทย ข้อมูลของบริษัทเอซี นีลเส็น และสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาดของค้าปลีกสมัยใหม่ ในปี 2549 มีมูลค่าหรือยอดขายรวม 4.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 34.2% ของมูลค่าทางธุรกิจการค้าปลีกค้าส่งรวมทั้งหมดประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท โดยจำนวนลูกค้าของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ตกประมาณ 80 ล้านรายต่อเดือน (นับจากจำนวนใบเสร็จ)
ข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ซึ่งกำส่วนแบ่งตลาดอยู่ 34.2% นั้น ตกอยู่อยู่ในมือของกลุ่มทุนต่างชาติที่เป็นผู้นำในธุรกิจนี้ 4 รายหลัก คือ เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, แมคโคร และคาร์ฟูร์,
โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ กล่าวว่า ยอดขายที่เพิ่มสัดส่วนขึ้นทุกปีของทุนค้าปลีกข้ามชาติมาจากการเร่งขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากปี 2544 ที่บรรดาค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรด ซึ่งประกอบด้วย เทสโก้-โลตัส, เทสโก้ - เอ็กเพรส, บิ๊กซี, แมคโคร, คาร์ฟูร์, เซเว่น อีเลฟเว่น, แฟมิลี่ มาร์ท, วัตสัน และอื่นๆ รวมกันมีจำนวนสาขา 1,821 สาขา ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,712 สาขาในปี 2548 และในปี 2550 จำนวนสาขาของโมเดิร์นเทรดเหล่านั้นขยายตัวเป็น 5,720 สาขา
"กล่าวได้ว่าเพียง 2 ปีนับจากปี 2548 ถึงปี 2550 มีการเพิ่มสาขามากถึง 2,008 สาขา หรือเพิ่มขึ้น 54% หากไม่วางแผนชะลอการขยายสาขาห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ อนาคตประเทศไทยจะมีสาขาของค้าปลีกต่างชาติเข้าไปตั้งทุกหนทุกแห่ง ผูกขาดทั้งบนและล่าง ฮั้วกันทำกำไร ทำลายร้านค้าเล็ก ผู้ประกอบการอิสระจะไม่มีเหลือ ว่าที่ ร.อ. จิตร์ กล่าว
เขายังชี้ว่า ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ต่างควบคุมการขยายสาขาของห้างค้าปลีกต่างชาติเพื่อปกป้องผู้ประกอบการในชาติ มีเพียงไทยเท่านั้นที่ปล่อยอิสระ (ดูรายละเอียดในตาราง)
เขายังชี้ว่า การเร่งขยายสาขามีความหมายถึงการเพิ่มกำไร ลดต้นทุน เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และยิ่งเพิ่มสาขามากขึ้นเท่าใดก็จะสามารถเพิ่มรายได้ช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่การขายสินค้าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งการสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ สร้างความคุ้มค่าการลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าและเทคโนโลยีที่ลงไป
ส่วนเล่ห์เหลี่ยมหรือกระบวนการประกอบการค้าที่ไม่เป็นธรรมทำลายร้านเล็กให้ล้มหายตายจากนั้น กลุ่มค้าปลีกต่างชาติจะใช้วิธีการขายสินค้าต่ำกว่าทุน (ในบางสินค้าและจำกัดจำนวนซื้อ) เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาภายในห้างให้มากที่สุด ขณะเดียวกันทางห้างก็สามารถใช้ปริมาณลูกค้าไปต่อรองในการสร้างรายได้อื่นๆ ที่มากกว่ารายได้จากการขายสินค้าที่ซื้อมา - ขายไป
นอกจากนั้น ยังทำสัญญาทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ไม่ได้ยึดถือคุณธรรมและจริยธรรมทางการค้าดังเช่นที่ปฏิบัติในประเทศแม่ เช่น กรณีแมคโคร ถมที่และสร้างห้างขวางทางระบายน้ำท่วมในจังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น
อนึ่ง เมื่อต้นปี 2550 ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์สากล และศูนย์วิจัยพฤติกรรมบริโภค คณะบริหาธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม สำรวจและวิจัยผลกระทบจากการเติบโตของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีต่อร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในเขตกรุงเทพฯ โดยสุ่มตัวอย่างจากร้านโชว์ห่วยที่เปิดดำเนินการมา 1 ปีขึ้นไปจำนวน 400 ร้าน พบว่าร้านค้าปลีกสมัยใหม่ประเภทไฮเปอร์มาร์ท ส่งผลกระทบต่อร้านโชว์ห่วยมากที่สุดร้อยละ 34% รองลงไปเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้อยละ 26 และซูเปอร์มาร์เก็ต ร้อยละ 14
ผลสำรวจยังระบุว่า ในเขตกรุงเทพฯ ขณะนี้ร้านโชว์ห่วย ต้องเลิกกิจการ คิดเป็นสัดส่วน 40% ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่งปิดตัวเองและอีกครึ่งหนึ่งหันไปทำธุรกิจอื่น ส่วนพฤติกรรมการซื้อสินค้าจากโชว์ห่วยและโมเดิร์นเทรด ขณะนีมีสัดส่วนเท่ากัน 50:50 แต่คาดว่าภายใน 3-5 ปี โมเดิร์นเทรดจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 80%
////////////////////////////////////////////////
การขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2007
ไฮเปอร์มาร์ท ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม
เทสโก้ 91 10 - - -
คาร์ฟูร์ 26 10 24 - -
แมคโคร 31 8 18 15 -
คาสิโน+บิ๊กซี 54 - - - 4
********************
ที่มา : กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
ขอดเกล็ดเทสโก้กินรวบ "ระบบผลิต-ขายสินค้า" |
โดย ผู้จัดการรายวัน |
2 ตุลาคม 2550 07:37 น. |
 |
เผยกระบวนการทำธุรกิจของยักษ์โมเดิร์นเทรดจากต่างชาติในบทนักบุญคนบาป ใช้วิธีขายต่ำกว่าทุนเป็นแม่เหล็กดึงผู้บริโภคเข้าห้างสร้างความเป็นพวก เพื่อใช้เป็นเครื่องมือฟันรายได้จากส่วนอื่นๆ สารพัด ทั้งรีดค่านำสินค้าเข้าครั้งแรกจากซัพพลายเออร์ ค่าเก็บรหัสสินค้า ชี้ผลกระทบทำลายทั้งร้านค้าปลีกรายย่อยและระบบผู้ผลิตด้วยการสร้างเฮาส์แบรนด์ ทำให้ผู้ผลิตอิสระกลายเป็นเพียงผู้รับจ้างทำของ ขณะที่รัฐฯเสียประโยชน์จากการเก็บภาษีได้น้อยลง ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ เปิดเผยถึงกระบวนการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรดหรือห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ว่าจะใช้วิธีการขายขาดทุนหรือขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุนที่ซื้อมา เพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้บริโภคเข้าห้างฯ ให้มากๆ และทำให้กลายเป็นพวก วิธีการดังกล่าวนี้เป็นการทำลายร้านค้าปลีกขนาดเล็กและโชวห่วยโดยตรง เพราะร้านค้าปลีกขนาดเล็กมีรายได้ช่องทางเดียวคือกำไรจากการซื้อมา-ขายไป ขณะที่ห้างสมัยใหม่กลับไม่ได้ใช้การซื้อมา-ขายไปเป็นช่องทางสร้างรายได้ แต่ใช้ปริมาณของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและจำนวนสาขาที่ขยายออกไปเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้อื่นๆ แทน โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ กล่าวต่อว่า รายได้ของโมเดิร์นเทรดที่เป็นรายได้หลักจริงๆ จะมาจากรายได้อื่นๆ เช่น ค่านำเข้าสินค้าครั้งแรกหรือค่าฟี ที่จัดเก็บจากคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ที่นำสินค้าไปวางขายในห้าง ซึ่งยิ่งเพิ่มสาขามากเท่าใดรายได้ส่วนนี้ก็มากขึ้น เพราะใช้จำนวนสาขาเป็นตัวคูณ นอกจากนั้น ยังมีการค่าเก็บรหัสข้อมูลรายการสินค้า, ค่าบริการชั้นวางสินค้าอย่างโซนเอจะเก็บค่าใช้จ่ายพิเศษ, ค่าธรรมเนียมพิเศษต่างๆ เช่น ขายสินค้าเข้าเป้าโดยจัดเก็บเป็นรายเดือน รายปี ฯลฯ, ค่าศูนย์กระจายสินค้า, ค่าแผ่นปลิวโฆษณา, ค่าส่วนลด ของแถม ตามโอกาสต่างๆ เช่น ครบรอบเดือน รอบปี ฯลฯ, ค่าเช่าพื้นที่พลาซาโชว์รถยนต์ คาราวานสินค้า ฯลฯ, ค่าบริหารจัดการศูนย์กระจายสินค้า เป็นต้น การขายต่ำกว่าทุนและเร่งขยายสาขาให้มากและเร็ว จึงเป็นการทำลายผู้ประกอบการรายย่อยให้ลดจำนวนลงโดยตรง นำไปสู่การผูกขาดของโมเดิร์นเทรดไม่กี่รายในอนาคต เม็ดเงินจะถูกดูดออกไปจนเมืองไทยกลายเป็นซอมบี้ ว่าที่ ร.อ.จิตร์ กล่าว ขณะนี้โมเดิร์นเทรด 4 รายใหญ่จากต่างชาติที่ยึดครองตลาด คือ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, แมคโคร และคาร์ฟูร์ เขายังระบุว่า รายได้ของโมเดิร์นเทรด ยังมาจากการประหยัดภาษีเพราะรวมเสียภาษีที่สำนักงานใหญ่ รวมทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์กระจายสินค้า และประหยัดจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีรายได้จากดอกเบี้ยรับเนื่องจากมีระยะเวลาการชำระเงินยาวกว่า ชำระเงินให้คู่ค้าล่าช้า แต่ขายได้เงินสดทุกวัน ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ได้ยกตัวอย่างงบการเงินของผู้นำโมเดิร์นเทรดรายหนึ่งว่า เมื่อปี 2547 มีรายได้ขาย 72,736 ล้านบาท มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายขายบวกค่าบริหาร รวม 73,966 ล้านบาท เท่ากับขาดทุน 1,230 ล้านบาท แต่กลับมีรายได้อื่นๆ มากถึง 3,378 ล้านบาท ทำให้มีกำไรขั้นต้น 2,148 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยรับอีก 387 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรทั้งสิ้น 2,535 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ารายได้อื่นๆ ของปี 2547 นั้น เพิ่มมากขึ้นจากปี 2546 ที่ทำได้ 2,692 ล้านบาท เนื่องจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง นอกเหนือจากนั้น วิธีการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรดที่นิยมกันมากขณะนี้คือ การสร้างเฮาส์แบรนด์ หรือสร้างสินค้าของตนเอง เช่น เทสโก้ โลตัส มีน้ำตาลทราย ข้าวสาร ฯลฯ ยี่ห้อ TESCO Lotus ซึ่งวิธีการดังกล่าว ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ระบุว่า เป็นการทำลายระบบผู้ผลิต ทำให้ผู้ผลิตอิสระกลายเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตของ ขณะที่โมเดิร์นเทรดได้ก้าวเข้ามาควบคุมผูกขาดด้านระบบผลิต เป็นการมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งที่ยึดกุมทั้งการผลิตและการขายเอาไว้ในมือ อย่างไรก็ตาม โมเดิร์นเทรดข้ามชาติอย่าง เทสโก้ โลตัส กลับอ้างว่า การสร้างเฮ้าส์แบรนด์จะช่วยหนุนส่งให้ผู้ผลิตไทยเข้มแข็ง ผลิตสินค้ามีคุณภาพ และเทสโก้ จะเป็นช่องทางในการนำสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยรับจ้างผลิตของหรือที่เรียกว่า โออีเอ็ม ออกไปขายยังตลาดโลก นับจากปี 2549 ที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส ประกาศบุกตลาดเฮาส์แบรนด์เต็มที่โดยวางแผนเพิ่มปริมาณสินค้าเฮาส์แบรนด์ปีละ 600-700 รายการต่อปี จากปัจจุบันที่มีสินค้าประเภทนี้กว่า 2,200 รายการ สามารถทำยอดขายให้ได้มากถึง 10,000 กว่าล้านบาท จากยอดขายรวมแสนกว่าล้านบาทในปี 2549 แนวทางดังกล่าวเป็นการเดินตามรอย เทสโก้ ในต่างประเทศที่มีสัดส่วนขายสินค้าแบรนด์เนม 65% และเฮาส์แบรนด์ 35% ในเว็บไซต์ของเทสโก้ โลตัส ระบุว่า นับจากปี 2546 เป็นต้นมา โปรโมชั่นสินค้าราคาถูกหรือแคมเปญ โรลแบค ของเทสโก้ ช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินได้ถึง 1,320 ล้าน ในปี 2548 เทสโก้ ได้ซื้อสินค้าและบริการจากคู่ค้า มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท จากคู่ค้ามากกว่า 3,700 ราย โดยเป็นบริษัทคู่ค้าของไทยถึง 97% เทสโก้ ยังช่วยผลักดันให้มีการส่งสินค้าออกไปยังสหราชอาณาจักร คิดเป็นเงิน 7,800 ล้านบาท และจ่ายภาษีให้รัฐ รวม 1,194 ล้านบาท ทั้งยังมีภาษีที่เทสโก้ เก็บแทนภาครัฐ มีมูลค่ารวม 5,012 ล้านบาท รวมถึงให้การสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าโอทอป โดยมียอดจำหน่าย 415 ล้านบาท ไม่นับการจัดตั้งมุมสินค้าโอทอปในสโตร์ ซึ่งมีมูลค่าเช่า 48 ล้านบาทแต่เทสโก้ ให้ใช้พื้นที่ฟรี. | |