เรียน ท่านสมาชิกศูนย์ปรึกษาการประหยัดพลังงาน หอการค้าไทย
ผมขอนำส่งข่าวด้านพลังงาน ประจำวันอังคารที่ 5 สิงหาคม 2551 ครับ
ESCC Energy Today August 5 th, 2008
ประเด็นข่าว
1. กสิกรฯ ปล่อยกู้อนุรักษ์พลังงาน
2. พลังงานยื้อลอยตัว"แอลพีจี" ผวาดีมานด์พุ่ง-บีบผู้ค้าม.7ร่วมนำเข้า
3. ประชาชนมีเฮได้คืนส่วนลดสินค้าเบอร์ 5
4. ราคาดีเซลลดลงอีก 60 สต./ลิตร เช้าวันนี้
5. สนพ.แนะ 4 วิธีประหยัดค่าไฟ ส่งใจเชียร์นักกีฬาไทยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง
6. รมว.พลังงานยืนยันหนุนอี 85 เป็นวาระแห่งชาติ
7. ก.พลังงาน กฟผ. และพันธมิตร โอนเงิน 3 ล้าน ค่าส่วนลดอุปกรณ์เบอร์ 5 พร้อมแจ้งสิทธิ์ล้างแอร์ฟรีแก่ประชาชนกว่า 2 หมื่น ครัวเรือน
8. กฟน.โชว์กำไร 6 เดือน 3,100 ล้านบาท
9. พิษซับไพรม์-น้ำมัน ทำIRPCชะลอแผน-ปรับปรุงโรงกลั่นฯ
10. รถร่วมเอกชนวอนรัฐชดเชยรายได้
11. น้ำมันลงไปแตะต่ำกว่า$120เป็นครั้งแรกในรอบ3เดือน
12. คนใช้ก๊าซ แอลพีจี ยังเคว้ง! ปตท.- รัฐปัดสวะ ไร้แผนฉุกเฉิน โบ้ยคนใช้รถ-ผู้ค้ามาตรา 7
ข่าวประชาสัมพันธ์
กฟผ.เริ่มจะล้างแอร์และส่งเงินคืนตามโครงการ 555
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวพลังงาน
1. กสิกรฯ ปล่อยกู้อนุรักษ์พลังงาน
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้เสนอต่อกรมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้สนับสนุนวงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้นจาก 160 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบเอสเอ็มอี เพื่อนำไปสร้างระบบการใช้พลังงานทดแทน เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานและยังขายคาร์บอนเครดิตได้ เบื้องต้นคาดว่าจะปล่อยกู้ได้ประมาณ 30 รายโดยแบ่งเป็นเงินของกรมฯ รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท ส่วนที่เกินธนาคารจะปล่อยกู้สมทบอัตราดอกเบี้ย 4% ระยะเวลาการผ่อนชำระ 7 ปี พร้อมกันนั้นได้ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร่วมลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก
2. พลังงานยื้อลอยตัว"แอลพีจี" ผวาดีมานด์พุ่ง-บีบผู้ค้าม.7ร่วมนำเข้า
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานการปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) กล่าวว่า เรื่องการประกาศลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจีภายในประเทศยังทำไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับราคา และมาตรการนำเข้าในกรณีที่ปริมาณความต้องการใช้เพิ่มขึ้นมาก จากปัจจุบันที่มี บมจ.ปตท.นำเข้าพียงรายเดียว ซึ่งตนมองว่าควรให้ผู้ค้ามาตรา 7 รายอื่นนำเข้าได้ด้วย โดยยอมรับว่าภาวะตลาดในปัจจุบัน ปตท.มีความสามารถในการรองรับการนำเข้าแอลพีจีเพียง 60,000 ตันเท่านั้น แต่ผู้ค้ามาตรา 7 บางรายอาจกังวลเกี่ยวกับเงินชดเชยส่วนต่างราคา คณะทำงานฯจึงต้องเร่งหาข้อสรุปด้านตัวเลขดังกล่าวให้ชัดเจน และต้องเร่งหามาตรการป้องกับการรั่วไหลหรือการใช้ผิดประเภท รวมทั้งข้อสรุปด้านการปรับราคาด้วย
3. ประชาชนมีเฮได้คืนส่วนลดสินค้าเบอร์ 5
เริ่มแล้ววันนี้ คืนส่วนลดผู้บริโภคซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 วงเงินรวม 3 ล้านบาท
พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ โครงการ 555 ช่วยลดค่าใช้จ่ายคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และพัดลมเบอร์ 5 ร่วมลดราคา 5% แก่ประชาชน 23 บริษัท จะคืนเงินส่วนลดผ่านธนาคารกรุงไทยเพื่อโอนเข้าบัญชีผู้ซื้อพร้อมกันทั่วประเทศ
4. ราคาดีเซลลดลงอีก 60 สต./ลิตร เช้าวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชลล์ในประเทศไทย ได้ประกาศลดราคาน้ำมันดีเซล 60 สตางค์/ลิตร มีผลวันนี้ (5 ส.ค.) ทำให้น้ำมันดีเซลบี 2 ลดเหลือลิตรละ 36.84 บาท น้ำมันดีเซลบี 5 ลิตรละ 36.14 บาท สาเหตุเป็นผลมาจากตลาดสิงคโปร์ลดลงต่อเนื่อง คาดสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันจะ ปรับลดลงอีก โดยเฉพาะดีเซลเหตุเพราะใกล้โอลิมปิก จีนเริ่มชะลอการซื้อหลังจากตุนซื้อมามากแล้ว
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รายงานราคาน้ำมันดีเซลที่ตลาดสิงคโปร์เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ปรับลดลงถึง 6.07 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปิดที่ 145.64 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มากกว่าการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานน้ำมันดีเซลในภูมิภาคเริ่มอยู่ในภาวะล้นตลาด เนื่องจากความต้องการนำเข้าจาก จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ปรับตัวลดลง ขณะที่ประเทศแถบเอเชียเหนือเช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนราคาเบนซิน ปรับลดลง 2.97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปิดที่ 121.22 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ลดลง 2.72 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปิดที่ 120.32 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เพราะความต้องการน้ำมันเบนซินทั่วโลกที่ปรับตัวลดลง โดยผู้นำเข้าหลักในภูมิภาค เช่น จีน และเวียดนาม ยังปรับลดการนำเข้าลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่ราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจีนที่เริ่มชะลอการนำเข้าดีเซล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ซื้อสตอกไว้เป็นจำนวนมากเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า ทำให้มลภาวะดีขึ้นรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและจากราคาน้ำมันสิงคโปร์ที่ลดลง เป็นที่คาดว่าราคาขายปลีกในประเทศสัปดาห์นี้จะปรับตัว ลดลงเช่นกันตามค่าการตลาดที่ในขณะนี้เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นในอัตราสูง
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ก.ย. เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปิดที่ 125.10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เพราะอิสราเอลออกมาแสดงจุดยืนในการตอบโต้อิหร่านหากยังคงดำเนินโครงการพัฒนานิวเคลียร์ แต่ปัจจัยนี้ไม่ได้ทำให้ราคาปรับสูงขึ้นนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐประกาศตัวเลขอัตราคนว่างงานในเดือน ก.ค.ที่พุ่งสูงถึงร้อยละ 5.7 ถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน มี.ค. ค.ศ. 2004 ส่งผลให้ตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและอัตราการใช้น้ำมันที่ชะลอตัวลง
นายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ผู้ที่ต้องการเข้าโครงการลดค่าครองชีพด้วยการลดค่าไฟฟ้า ซึ่งกรณีผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 80 หน่วยจะไม่เสียค่าไฟฟ้า และหากใช้ไม่เกิน 150 หน่วยจะได้ลดค่าไฟครึ่งหนึ่งนั้น จะต้องเริ่มจากการสำรวจการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านว่ามีอะไรที่สามารถลดหรือประหยัดได้เพิ่มเติมหรือไม่ เช่น กรณีปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น รีดผ้าร่วมกันโดยพรมน้ำไว้ก่อน การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นเบอร์ 5 ซึ่งในขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ร่วมกับหลายสถาบันการเงินให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ย ซึ่งนับว่าผู้ที่ใช้ไฟฟ้าก็จะได้ประโยชน์ 2 ต่อทั้งลดค่าครองชีพและได้สินเชื่อ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยลดการใช้ไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ชะลอการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ในอนาคต.
5. สนพ.แนะ 4 วิธีประหยัดค่าไฟ ส่งใจเชียร์นักกีฬาไทยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ห่วงค่าไฟฟ้าของประชาชนเพิ่มในช่วงมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 8-24 สิงหาคม 2551 โดยคาดว่ามหกรรมกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 29 นี้ จะมีนักกีฬาจากประเทศต่างเข้าร่วมการแข่งขันในกีฬาประเภทต่างๆ ประมาณ 28 ชนิด จำนวนประมาณ 10,500 คน ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงดังกล่าวจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงมากกว่าปกติ เนื่องจากแทบทุกบ้านจะติดตามผลการแข่งขันและเชียร์นักกีฬาที่ตนเองชื่นชอบทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปกติอย่างแน่นอน เพราะมีการเปิด ปิดโทรทัศน์เพิ่มขึ้น และยังมีการเปิดแอร์ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นในระหว่างชมการแข่งขันด้วย
ดังนั้นเพื่อให้ผู้ชมชาวไทยได้ชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ตั้งแต่พิธีเปิดในวันที่ 8 สิงหาคม 2551 จนถึงพิธีปิดในวันที่ 24 สิงหาคม 2551 อย่างสนุกและประหยัดไฟฟ้า สนพ. มีข้อแนะนำง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. ตั้งเวลาเปิด ปิด ไม่ควรเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เพื่อรอดูกีฬานัดสำคัญที่ตนชื่นชอบควรตั้งนาฬิกาปลูกเพื่อเตือนความจำ และหากโทรทัศน์ของท่านสามารถตั้งเวลาเปิด ปิดได้ ควรตั้งเวลาเปิด ปิดอัตโนมัติ เพราะหากเปิดทีวีทิ้งไว้โดยไม่มีคนดูวันละ 1 ชั่วโมงพร้อมกัน 1 ล้านเครื่อง (โทรทัศน์ 21 นิ้ว 110 วัตต์) จะสิ้นเปลืองค่าไฟเดือนละ 9.9 ล้านบาท
2. ปิดโทรทัศน์ที่ตัวเครื่อง ไม่ควรปิดโดยใช้รีโมทคอนโทรลอย่างเดียว ควรฝึกนิสัยการปิดที่เครื่องโดยตรง เพราะหากโทรทัศน์ขนาด 21 นิ้ว 110 วัตต์ เปิดดูวันละ 4 ชั่วโม แต่ปิดด้วยรีโมทคอนโทรล โดยยังเสียบปลีกอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน จะเปลืองไฟ 5.4 หน่วยต่อเดือน สิ้นเปลืองค่าไฟ 16.20 บาทต่อเดือน
3. ถอดปลั๊กหลังใช้ อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้เพราะโทรทัศน์จะมีไฟฟ้าหล่อเลี้ยงระบบภายในอยู่ตลอดเวลา จะทำให้สิ้นเปลืองไฟ และอาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะเกิดฝนฟ้าคะนองได้
4. เครื่องเดียวกันดูด้วยกัน เลิกเปิดโทรทัศน์พร้อมกันคนละเครื่องคนละห้อง ชวนมาดูพร้อมกันที่เครื่องเดียวกัน ประหยัดค่าไฟ แถมยังเชียร์สนุกกว่าด้วย โดยหากครึ่งหนึ่งของคนไทย 14 ล้านครัวเรือน ดูโทรทัศน์ด้วยกันจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ 1.3 ล้านหน่วย หรือคิดเป็น 4 ล้านบาทต่อปี
จึงขอฝากให้ประชาชนคนไทยนำ 4 เทคนิคนี้ ไปปรับใช้ในการเชียร์กีฬาโอลิมปิก 2008 เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าของบ้านท่าน และอย่าลืมเป็นกำลังใจให้นักกีฬาไทยทุกคนด้วย
** หมายเหตุ คิดค่าไฟฟ้าที่หน่วยละ 3 บาท
6. รมว.พลังงานยืนยันหนุนอี 85 เป็นวาระแห่งชาติ
รมว.พลังงานยืนยันหนุนอี 85 เป็นวาระแห่งชาติ แม้จะมีการปรับ ครม.ใหม่แล้วก็ตาม เชื่อจะไม่มีปัญหากับการประสานงานทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่ขอแสดงความเห็น โดยกระทรวงพลังงานยืนยันจะทำงานตามกรอบที่ได้แถลงนโยบายกับรัฐบาล และการออกมาตรการของกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาก็ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของบุคคลต่าง ๆ อย่างครบถ้วน จึงเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหากับการทำงานของกระทรวงพลังงาน โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้ กระทรวงพลังงานจะรายงานความคืบหน้าการจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูก 3 บาทต่อลิตร ที่ให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่กลุ่มประมงชายฝั่งและเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายย่อยให้ที่ประชุมรับทราบ
รมว.พลังงาน ยังกล่าวด้วยว่า ในเรื่องการจัดเก็บเงินกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของดีเซล 50 สตางค์ เพื่อนำไปอุดหนุนการก่อสร้างรถไฟฟ้า จะมีการจัดเก็บเมื่อใดนั้น คงขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่าจะมีการนัดประชุมเมื่อใด ซึ่งในการประชุมดังกล่าวก็จะมีการรายงานยืนยันนโยบายส่งเสริม อี 85 ให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป แม้ว่าจะมีปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วก็ตาม ส่วนเรื่องโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมยืนยันจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
7. ก.พลังงาน กฟผ. และพันธมิตร โอนเงิน 3 ล้าน ค่าส่วนลดอุปกรณ์เบอร์ 5 พร้อมแจ้งสิทธิ์ล้างแอร์ฟรีแก่ประชาชนกว่า 2 หมื่น ครัวเรือน
กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลมเบอร์ 5 และธนาคารกรุงไทย โอนเงินส่วนลดราคาอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 3 ล้านบาท พร้อมส่งไปรษณีย์แจ้งสิทธิ์แก่ผู้แจ้งความจำนงล้างแอร์ฟรี รวมสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าปีละกว่า 7.3 ล้านหน่วย และลดการปล่อย CO2 กว่า 4,300 ตันต่อปี
พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในงานแถลงข่าวการโอนเงินเข้าบัญชีผู้ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ในโครงการ 555 ช่วยลดค่าใช้จ่ายคนไทย และกิจกรรมจัดส่งไปรษณีย์แจ้งสิทธิ์แก่ผู้แจ้งความจำนงล้างแอร์ฟรี 23,761 ครัวเรือน ใน โครงการแอร์สะอาด เพิ่มเงินบาทให้ครัวเรือน โดยได้รับเกียรติจากเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) , ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทผู้ประกอบการ เป็นสักขีพยาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้กำหนด 11 มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทุกภาคส่วน ด้วยมาตรการจูงใจที่เหมาะสม โดยในส่วนภาคประชาชนได้มอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนที่มีสถิติสูงอย่างต่อเนื่องทุกปี ด้วยการจัดทำ 2 โครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการ 555 ช่วยลดค่าใช้จ่ายคนไทย ซึ่งมีบริษัทผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และพัดลมเบอร์ 5 ร่วมลดราคาอุปกรณ์ 5 % แก่ประชาชน จำนวน 23 บริษัท รวม 124 รุ่น โดยคืนเงินส่วนลดผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อโอนเข้าบัญชีผู้ซื้อพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 5 สิงหาคม นี้ ซึ่งจากการจัดกิจกรรมระหว่างเดือนพฤษภาคม กรกฎาคม 2551 มีผู้บริโภคเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 2,219 ราย เป็นเงินส่วนลดประมาณ 3 ล้านบาท ส่งผลให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1.36 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 4 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 700 ตันต่อปี
นอกจากนี้ ในโครงการแอร์สะอาด เพิ่มเงินบาทให้ครัวเรือน ภายหลังจากการเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 23,761 ราย โดย กฟผ. ได้ประสานงานกับพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.), สมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สรอ.) และร้านค้ากรีนช้อป ร่วมให้บริการล้างเครื่องปรับอากาศแก่ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่ง กฟผ. ได้ส่งจดหมายยืนยันสิทธิในการล้างเครื่องปรับอากาศฟรี ประกอบด้วย หนังสือยืนยัน , รายชื่อผู้ให้บริการในจังหวัดที่อาศัย , หนังสือรับรอง และแบบสอบถามความพึงพอใจ แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ชุดแรกไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2551 จำนวน 15,000 ฉบับ และจะจัดส่งจำนวนที่เหลือ 8,314 ฉบับในวันนี้ เพื่อให้ประชาชนประสานงานติดต่อนัดหมายภายในสิ้นเดือนกันยายน 2551 ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 7.2 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 21.6 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 3,600 ตันต่อปี
ด้าน นายบรรพต แสงเขียว ผู้ช่วยผู้ว่าการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ 5 มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน โดยจากผลการดำเนินงานใน 2 มาตรการข้างต้นนี้ ได้ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ส่งผลให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. มีแนวทางขยายต่อในปี 2552 ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เกิดอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กฟผ. จะเร่งดำเนินการในส่วนมาตรการ ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ไฟท์บังคับ ในส่วนเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ให้มีผลบังคับใช้ในต้นปี 2552 และมาตรการ Standby Power Loss 1 W ที่ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดกินไฟขณะปิดไม่เกิน 1 วัตต์ ให้แล้วเสร็จก่อนกรอบที่กระทรวงฯ กำหนดภายในปี 2554
นอกจากนี้ นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการ สคบ. กล่าวว่า ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ถือเป็นฉลากที่คุ้มครองผู้บริโภค จึงจะเร่งดำเนินการผลักดันให้มีการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกเครื่อง โดยเริ่มจากเครื่องปรับอากาศ ให้เป็นรูปธรรมต่อไป เนื่องจากถือเป็นประโยชน์อย่างสูงต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ จะมีการประสานงานการดำเนินงานกับ กฟผ. อย่างใกล้ชิด
ด้าน นางศรีประภา พริ้งพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มสายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือว่า ธนาคารมีความพร้อมที่จะโอนเงินส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 แก่ประชาชนในโครงการ 555ฯ เข้าบัญชีธนาคารที่กำหนดพร้อมกันทั่วประเทศในวันพรุ่งนี้ (5 สิงหาคม 2551) โดยจะหักค่าธรรมเนียมการโอนเงินในอัตรา 5 บาทต่อ 1 รายการ จากเงินส่วนลดที่ผู้ซื้อได้รับ ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อน กับ กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. อย่างต่อเนื่องในโอกาสต่อไป
8. กฟน.โชว์กำไร 6 เดือน 3,100 ล้านบาท
กฟน.ครบรอบ 50 ปี ยึดหลักดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง เน้นคุณภาพระบบจำหน่าย-บริการเป็นเลิศ เดินหน้าแผนลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท พัฒนาประสิทธิภาพสนองความพึงพอใจผู้ใช้ไฟฟ้า โชว์กำไร 6 เดือนแรกกว่า 3,100 ล้านบาท เผยกระแสเงินมีเสถียรภาพมั่นคง
นายพรเทพ ธัญญพงศ์ชัย ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานตลอดช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน กฟน.มีรายได้รวม 67,500 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 64,400 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,100 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 125,600 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2550 จำนวน 4,500 ล้านบาท คาดว่าในรอบปี พ.ศ.2551 หน่วยจำหน่าย จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ ร้อยละ 1.85 หรืออยู่ที่ประมาณ 42,814 ล้านหน่วย และมีกำไรสุทธิประมาณ 5,000 ล้านบาท ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปี 2551 อยู่ที่ 7,584 เมกะวัตต์ ( สูงสุดอยู่ที่ 7,719 เมกะวัตต์ ในปี 2550 )
ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยต่อไปว่า กฟน.เดินหน้าสู่การดำเนินธุรกิจหลักอย่างมั่นคง โดยเน้นคุณภาพของระบบจำหน่ายและบริการที่เป็นเลิศ โดย กฟน.มีแผนลงทุนที่สำคัญในการพัฒนาระบบไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการพลังไฟฟ้า ซึ่งในปี 2551 กฟน.มีแผนการจ่ายเงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเน้นแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ประกอบด้วย แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 ( ต่อเนื่อง ) แผนพัฒนาและรักษาคุณภาพการให้บริการ แผนปรับปรุงสายส่ง 230 เควี บางกะปิ ชิดลม แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้าฉบับที่ 10 แผนงานเปลี่ยนระบบสายป้อนอากาศเป็นสายป้อนใต้ดิน ปี 2547 -2552 ได้แก่ โครงการพหลโยธิน สุขุมวิท และ พญาไท และแผนงานเปลี่ยนระบบสายป้อนอากาศเป็นสายป้อนใต้ดิน ปี 2551 2556 ได้แก่ โครงการปทุมวัน จิตรลดา และ พญาไท (เพิ่มเติม) พระราม 3 และ นนทรี
สำหรับค่าดัชนีความมั่นคงในระบบไฟฟ้าและความสูญเสียในระบบจำหน่ายในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา กฟน.สามารถดำเนินการจ่ายกระแสไฟฟ้ารองรับจำนวนลูกค้าและความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดได้อย่างพอเพียง ตลอดจนสามารถเสริมสร้างและรักษาระดับความมั่นคงในระบบไฟฟ้า โดยมีค่าดัชนีจำนวนไฟฟ้าดับ ( SAIFI ) 1.353 ครั้ง /ราย/ 6 เดือน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 1.6 ค่าดัชนีระยะเวลาไฟฟ้าดับ( SAIDI ) มีค่า 30.051 นาที / ราย / 6 เดือน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 15.4
ในส่วนการขยายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กฟน.ได้เร่งดำเนินการแล้วหลายธุรกิจเช่นโครงข่ายใยแก้วนำแสงหลังจากได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ขณะนี้สามารถให้บริการเฉพาะโครงข่าย โดยการให้เช่า /ใช้ / เชื่อม เส้นใยแก้วนำแสงตามความเร็ว (Speed) ในการใช้งาน ซึ่งมีผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมที่เป็น ISP แจ้งความประสงค์ใช้งานแล้วหลายราย ธุรกิจบริการสารสนเทศภูมิศาสตร์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ธุรกิจผลิตและจำหน่าย ณ จุดใช้งาน ธุรกิจบริการติดตั้งระบบไฟฟ้า และ ธุรกิจบริการคุณภาพไฟฟ้า Better Care ซึ่งแต่ละธุรกิจได้รับความสนใจ จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการ Harmonization of the Power Distribution System in the Lower Mekong Sub-Region พร้อมทั้งจัดฝึกอบรมบริการที่ปรึกษาในด้านการวางแผนและการออกแบบไฟฟ้า เป็นต้น
ด้านการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ปัจจุบัน กฟน.มีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้า 2.7 ล้านราย แบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบออกเป็น 18 เขตและ 13 สาขาย่อย ทุกแห่งผ่านการรับรองมาตรฐานสากล พร้อมนำระบบ e service เข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระค่าไฟฟ้ารวมถึงขอใช้ไฟฟ้าทางระบบอินเตอร์เน็ต รวมถึงพัฒนาศูนย์ข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า Call Center 1130 ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ เฉลี่ยเดือนละ 1 แสนราย นอกจากนี้ กฟน.ยังนำระบบ CRM-CEM เข้ามาใช้โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลางพร้อมบริการครบวงจร เช่น การปรับปรุงเคาน์เตอร์ชำระเงินในทุกที่ทำการเขตให้มีความทันสมัยและสามารถรับชำระค่าไฟฟ้าเฉลี่ยไม่เกินรายละ 3 นาที และมีการนำระบบ GIS เข้ามาใช้ในระบบงานบริการลูกค้า
กฟน.ได้ยึดหลักสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าสูงสุดในขณะเดียวกันก็ยังคำนึงในเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อม Corporate Social Responsibility ( CSR ) กฟน.ได้ให้ความสำคัญโดยได้จัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์หลายกิจกรรม เช่น โครงการติดตั้งระบบสายดินตู้น้ำดื่มให้กับโรงเรียนในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( สพฐ.) โครงการคืนโลกสดใส ลดใช้พลังงาน เพื่อให้เยาวชนตระหนักในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน โครงการรณรงค์การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัยในหมู่บ้านจัดสรร นอกจากนี้ยังสนับสนุนเยาวชนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยจัดกิจกรรมคนพันธ์อา..ปลูกป่าชายเลน ซึ่งนำเยาวชนอาชีวศึกษาจำนวน 3 พันคน ปลูกป่าชายเลนบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ รวมทั้งจัดตั้ง www.youngmea.com เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆที่เป็นประโยชน์ในเรื่องการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม อีกด้วย
9. พิษซับไพรม์-น้ำมัน ทำIRPCชะลอแผน-ปรับปรุงโรงกลั่นฯ
ไออาร์พีซีชะลอโครงการลงทุนปรับปรุงโรงกลั่น long residue มูลค่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หวั่นปัญหาซับไพรม์กระทบเงินกู้และราคาน้ำมัน ขณะที่การส่งออกน้ำมันดีเซลซัลเฟอร์สูงไปเขมรยังคล่อง แต่หวั่นข้อพิพาทเขาพระวิหารทำชะงัก
นายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ชะลอโครงการลงทุนปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันที่จะนำน้ำมันหนัก long residue มาปรับปรุงคุณภาพที่จะต้องลงทุนเพิ่มอีก 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐออกไปก่อน จากเดิมที่จะมีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัทเพื่อขอความเห็นชอบการลงทุนใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้ เพราะบริษัทต้องทบทวนแหล่งเงินลงทุน เนื่องจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ(ซับไพร์ม)ของสหรัฐฯ ทำให้การหาเงินกู้ลำบาก และภาวะราคาน้ำมันยังคงผันผวน โดยหากราคาน้ำมันดิบต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็อาจจะไม่คุ้มการลงทุน
อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดี มีการคืนทุนได้เพียง 4-5ปี เพราะทำให้การกลั่นน้ำมันเต็มที่ 260,000 บาร์เรล/วัน และนำ long residue ซึ่งเป็นน้ำมันหนักที่ขายราคาถูก มาผลิตเป็นน้ำมันใสที่มีราคาสูงกว่า รวมทั้งได้แนฟธาซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น 7 แสนตันกว่าตัน/ปี
ตามแผนลงทุนที่ได้รับการอนุมัติเม็ดเงินปรับปรุงกำลังผลิต 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยในปี 2551 จะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นส่วนของการสร้างโรงไฟฟ้า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ 120-140 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อการบริหารกระแสเงินสดในบริษัท เพราะมีภาระในการสต็อกน้ำมันดิบและสินค้าเพิ่มขึ้นมาเป็นวงเงินสูงถึงมาก เช่น กรณีน้ำมันดิบที่สต็อก ร้อยละ 5 หรือ 2.6 ล้านบาร์เรล วงเงินสต็อกต้องเพิ่มขึ้นจาก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาเป็น 300 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายสุพล ทับทิมจรูญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารและแผนธุรกิจ บมจ.ไออาร์พีซี กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงขนาด 200 เมกะวัตต์ว่า ขณะนี้บริษัทเตรียมยื่นข้อมูลเพิ่มเติมให้อีไอเอเพื่ออนุมัติโครงการ ขณะเดียวกันก็ได้มีการประกวดราคาก่อสร้างแล้ว รอเพียงการอนุมัติอีไอเอเท่านั้น ก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เลย
โครงการดังกล่าวจะช่วยลดมลภาวะจากเดิมที่บริษัทฯนำน้ำมันเตามาใช้เป็นเชื้อเพลิงในหม้อต้มเพื่อนำไอน้ำไปใช้ในการบวนการผลิต และยังลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าตกหรือดับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)ด้วย
จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลงในช่วงนี้ ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลดลงตามแต่ไม่รุนแรงมากนัก โดยราคาเม็ดพลาสติกHDPE อยู่ที่ 1,650 เหรียญสหรัฐ/ตัน และ PP 1700 เหรียญสหรัฐ จากเดิมที่เคยพุ่งไปถึง 1,700 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนปัญหาข้อพิพาทประเด็นประสาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น นายสุพล กล่าวว่าขณะนี้บริษัทฯยังไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว โดยยังส่งออกน้ำมันดีเซลซัลเฟอร์สูง น้ำมันเตาและน้ำมันหล่อลื่นไปยังเขมรได้อยู่ แต่หากยืดเยื้อออกไปก็ไม่แน่ใจว่าจะกระทบหรือไม่ ทั้งนี้บริษัทฯส่งออกน้ำมันดังกล่าวปีละ 600-700 ล้านบาท
นายปิติ กล่าวอีกว่า ไออาร์พีซีไม่มีแผนที่จะซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่อย่างใดแม้หุ้นจะมีราคาต่ำ เพราะจากที่มีการศึกษาพบว่า ไม่มีประโยชน์ แต่บริษัทฯเน้นที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทั้งระบบ และปัญหาเรื่องพนักงาน ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำโครงการร่วมใจจาก ปรากฏว่าสามารถลดพนักงานจาก 8,000 คน เหลือประมาณกว่า 5,000 คน
10. รถร่วมเอกชนวอนรัฐชดเชยรายได้
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลได้เปิดให้บริการรถเมล์ฟรีมา 3 วัน จำนวน 800 คัน พบว่า ได้รับการตอบรับจากประชาชนมาใช้บริการเป็นอย่างดี โดยขณะนี้ทาง ขสมก.อยู่ระหว่างการประเมินผลของผู้มาใช้บริการว่ามีสายรถเมล์ใดบ้างที่มีปริมาณผู้มาใช้บริการมาก และสายไหนบ้างมีผู้มาใช้บริการน้อย แต่จำนวนรถมากก็จะโยกรถเมล์ฟรีมาให้บริการที่มีคนมาก นอกจากนั้น ได้มีแนวคิดที่จะนำรถเมล์ฟรีไปให้บริการในเส้นทางที่ไม่มีรถเมล์ของ ขสมก.ให้บริการ โดยเฉพาะเส้นทางชานเมือง เช่น มีนบุรี-ร่มเกล้า เป็นต้น ส่วนกรณีที่สมาคมรถร่วม ขสมก.ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนให้รถร่วม ขสมก. บริการรถเมล์ฟรีบ้างนั้น มองว่า หากเป็นหน่วยงานรัฐกับหน่วยงานรัฐจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย การชดเชยจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ด้านนายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมเอกชน กล่าวว่ารถร่วมเอกชนได้รับผลกระทบจากนโยบายรถเมล์ฟรีของรัฐบาลอย่างมากโดยเฉพาะสายเพชรเกษม ลาดพร้าว วิภาวดี อนุสาวรีย์ชัย ซึ่งทำให้รายได้ หายไปวันละ 800-900 บาท หรือลดลง 30% ส่วนกรณีที่ภาครัฐเตรียมขยายเส้นทางรถ ขสมก.ฟรี ครอบคลุมจริง รถร่วมเอกชนคงได้รับผลกระทบแน่นอน จึงต้องการให้รัฐใช้นโยบายลดราคาค่าตั๋วทั้งรถ ขสมก. และรถร่วมเอกชน 2-3 บาท มากกว่านโยบายขึ้นรถเมล์ฟรี อย่างไรก็ตาม ภายในสัปดาห์นี้สมาคมฯจะมีการหารือถึงผลกระทบก่อนที่จะเสนอให้ รมว.คมนาคม ช่วยเหลือต่อไป
นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)เปิดเผยถึงการให้บริการรถไฟฟรีเพื่อประชาชนตามนโยบาย 6 มาตรการ6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อไทยทุกคน พบว่าตลอด 3 วันของการเปิดบริการ (1-3 ส.ค.) มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 212,588 คน หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 70,862 คน หรือ 13% ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลขบวนรถไฟที่เดินทางไปสู่ภูมิภาคต่างๆพบว่าขบวนรถไฟสายใต้เป็นเส้นทางที่มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ 60,230 คน รองลงมา สายตะวันออกเฉียงเหนือ 50,260 คน ส่วนเส้นทางปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นน้อยสุด คือ สายแม่กลอง 17,725 คน.
11. น้ำมันลงไปแตะต่ำกว่า$120เป็นครั้งแรกในรอบ3เดือน
เอเอฟพี/เอเจนซี - ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างแรงเมื่อวันจันทร์(4) ลดลงแตะระดับต่ำกว่า 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ณ ช่วงเวลาสั้นๆระหว่างการซื้อขาย หลังดีมานด์ลดลงและความกังวลกรณีที่ตั้งทางพลังงานในอ่าวเม็กซิโกอาจได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนคลี่คลาย
ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีต ในการซื้อขายที่นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลงไปที่ 119.50 ดอลลาร์ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม ก่อนกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในช่วงก่อนปิดตลาดกลับมาปิดที่ 121.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง ลดลง 3.69 ดอลลาร์ ขณะที่ในลอนดอน ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือ งวดเดียวกัน ลดลง 3.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 120.68 ดอลลาร์
น้ำมันดิบโลกราคาลดต่ำลงแม้ว่ามีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาโปรแกรมนิวเคลียร์ของอิหร่านเพิ่มมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งพายุโซนร้อนเอดูอาร์ด ไม่ได้คุกคามแหล่งผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติหลักทางตอนเหนือของอ่าวเม็กซิโกอย่างคาดคะแนไว้ หลังจากก่อตัวขึ้นเมื่อวันอาทิตย์(3)
รายงานของรัฐบาลสหรัฐฯระบุว่าการบริโภคน้ำมันของชาวอเมริกา ลดลงในเดือนมิถุนายนและอัตราเงินเฟ้อกดดันก่อให้เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ --ชาติผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ดีมานด์พลังงานลดลง
"ดีมานด์ที่กำลังช้าลงและความหวังสำหรับซัปพลายที่เพิ่มขึ้นได้ถ่วงตลาด แม้ว่าจะมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาพอากาศที่ผันผวน" ฟิล ฟีน นักวิเคราะห์จากอลารอนเทรดดิ้งระบุ
ความตึงเครียดเกี่ยวกับโปรแกรมนิวเคลียร์ของอิหร่านเพิ่มสูงขึ้น หลังจากเตหะรานพลาดเส้นตายเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ สำหรับตอบกลับว่าจะยุติโครงการนิวเคลียร์เพื่อแลกกับความช่วยเหลือต่างๆ ตามข้อเสนอของสหภาพยุโรป(อียู)หรือไม่
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์(4) กล่าวว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้สหประชาชาติคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มอีกจากที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรอยู่แล้วถึง 3 ชุดด้วยกันนับตั้งแต่ปี 2006 ขณะที่อิหร่านตอบโต้ด้วยการทดสอบขีปนาวุธยิงเรือระยะทำการ 300 กิโลเมตร พร้อมขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซหากถูกโจมตีก่อน
ราคาน้ำมันในตลาดนิวยอร์ก ลดลงมากกว่า 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนับตั้งแต่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 147.27 ดอลลาร์เมื่อเดือนกรกฎาคม ส่วนหนึ่งมาจากความตึงเครียดเกี่ยวกับประเด็นอิหร่าน
12. คนใช้ก๊าซ แอลพีจี ยังเคว้ง! ปตท.- รัฐปัดสวะ ไร้แผนฉุกเฉิน โบ้ยคนใช้รถ-ผู้ค้ามาตรา 7
บิ๊กพลังงาน แหยงประกาศลอยตัวก๊าซ แอลพีจี ผวาดีมานด์พุ่งจนฉุดไม่อยู่ บ่งชี้ภาครัฐอ่อนหัด-ไร้แผนฉุกเฉินรับมือวิกฤตพลังงาน โทษราคาตลาดโลก และรถยนต์ที่แห่ติดก๊าซพุ่ง เป็นตัวต้นเหตุ ล่าสุด เตรียมใช้อำนาจบีบคอผู้ค้ามาตรา 7 แบกภาระนำเข้าร่วมกับ ปตท.พูนภิรมย์ คาดได้ข้อสรุปเบื้อต้น สัปดาห์นี้
วันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานการปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวถึงความคืบหน้าในการประกาศลอยตัวราคาก๊าซภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปราคาแอลพีจีได้ เนื่องจากยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยเฉพาะเกี่ยวกับมาตรการนำเข้าแอลพีจี ในกรณีที่ปริมาณความต้องการใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้นมาก จากปัจจุบันที่มีบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT นำเข้าเพียงรายเดียว ส่วนตัวมองว่าควรที่จะให้ผู้ค้ามาตร 7 รายอื่น สามารถนำเข้าแอลพีจีได้ด้วย
นายพรชัย ยอมรับว่า ภาวะตลาดในปัจจุบัน ปตท.มีความสามารถในการรองรับการนำเข้าแอลพีจีเพียง 60,000 ตันเท่านั้น อย่างไรก็ตามผู้ค้ามาตรา 7 บางรายอาจกังวลเกี่ยวกับเงินชดเชยส่วนต่างราคาแอลพีจี ดังนั้น คณะทำงานจึงต้องเร่งเพื่อหาข้อสรุปด้านตัวเลขดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่คณะทำงานจะต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ มาตรการป้องกันการรั่วไหล หรือการใช้ผิดประเภท รวมทั้งข้อสรุปด้านการปรับราคาแอลพีจีด้วย ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องแอลพีจี เพราะหากดีมานด์แอลพีจีเพิ่มขึ้น ใครจะเป็นผู้นำเข้าให้ผู้ค้ามาตรา 7 สามารถนำเข้าได้ด้วยหรือไม่ ส่วนสัปดาห์หน้ายังไม่ทราบว่าจะเสร็จหรือไม่ การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้ รัฐบาลคงไม่บังคับให้เพิ่มปริมาณสำรองแอลพีจี แน่นอน
ด้านข้อมูลเบื้องต้นสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) น่าจะเสนอตัวเลขการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและอุตสาหกรรมขึ้นอีก 5 บาทต่อลิตร โดยเชื่อว่า เป็นระดับที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ประชาชนสามารถรับได้ และทยอยปรับตัวไปใช้พลังงานทางเลือกอื่น อาทิ ก๊าซเอ็นจีวี
สำหรับแผนเบื้องต้น เชื่อว่า จะยังคงยึดสูตรโครงสร้างการปรับราคาแอลพีจีแบบขั้นบันได คือ อิงราคาในตลาดโลก โดยงวดนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่เพียง 5% เท่านั้น และหลังจากนั้นก็จะขยับขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละไตรมาส
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐบาล มองว่า แม้จะมีการปรับขึ้นราคาแอลพีจีระดับดังกล่าวแล้ว ก็คงไม่สามารถชะลอการใช้ภาคขนส่งได้มากนัก เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันขณะนี้ หากปรับราคาขึ้น 5 บาทจริง ราคาขายแอลพีจีก็จะอยู่ที่ 16-17 บาทต่อลิตรเท่านั้น
ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่า 10-11 บาทต่อลิตรนั้น เชื่อว่าเป็นการโยนหินถามทางของรัฐบาล และเป็นระดับราคาที่สูงเกินไป แต่รัฐบาลก็เชื่อว่า ตัวเลข 10-11 บาทนี้ คงเป็นระดับที่ชะลอการใช้ในภาคขนส่งได้
พล.ท.(หญิง) พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การปรับราคาแอลพีจี ขอระยะเวลาพิจารณาตัวเลขการปรับขึ้นราคา ปริมาณการใช้และการป้องกันการรั่วไหลแอลพีจีจากภาคครัวเรือน ไปใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมอย่างรอบคอบอีกครั้ง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้
**ปตท.ไร้แผนรับมือวิกฤตพลังงาน โทษคนใช้รถแห่ติดก๊าซ
นายสุรวงค์ บูลกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเดิมเคยใช้เพียง 3 ล้านตัน แต่เพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านตันในปีนี้ ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 14.2 เปอร์เซนต์ และส่วนใหญ่เป็นการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ในรถยนต์ สูงถึง 22.7 เปอร์เซนต์ และถ้ายังคงใช้ในปริมาณที่มากเช่นนี้ต่อไปอีก คาดว่า ปีหน้าอาจจะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นจากที่เคยใช้ในปัจจุบัน อีก 1 ล้านตัน
เมื่อแก้ปัญหาเรื่องการนำเข้าเพื่อให้เพียงพอความต้องการใช้ในขณะนี้ได้แล้ว ปัญหาที่น่าหนักใจสำหรับ ปตท.คือ ที่ผ่านมา ปตท.ต้องแบกรับภาระความต่างในเรื่องของราคาก๊าซแอลพีจีที่ขายอยู่ในเมืองไทย ที่ขายอยู่ที่ 332 ดอลลาร์ต่อตัน ในขณะที่ราคานำเข้าอยู่ที่ 950 ดอลลาร์ต่อตัน ต้องแบกรับความต่างไว้กว่า 600 ดอลลาร์ต่อตัน และแม้ความต่างที่ว่านี้รัฐบาลจะช่วย แต่ที่ผ่านมาติดในเรื่องเงื่อนไขของเวลา และอีกหลายอย่าง ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสามารถแบกรับภาระไว้ได้นาน และคิดว่าคงแบกรับภาระนี้ได้แค่เพียงสิ้นปีนี้เท่านั้น เพราะถ้าให้ยาวนานไปถึงปีหน้าด้วยคงไม่ไหว
**บางจากแนะใช้พลังงานทดแทนล้อมคอก
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกขณะนี้ แม้ราคาจะปรับลดลงอยู่ที่ 124 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่เชื่อว่าไม่มีทางจะเห็นราคาลดต่ำมาที่ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แน่นอน โดยวงการน้ำมันคาดว่าราคาน้ำมันจะไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเมื่อไทยจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ 80% ดังนั้น นโยบายพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล และก๊าซธรรมชาติ ต้องมีทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งเห็นว่า ภาครัฐต้องมีหน่วยงานเป็นเจ้าภาพหลักที่ชัดเจน เช่น คณะกรรมการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ
ข่าวประชาสัมพันธ์
กฟผ.เริ่มจะล้างแอร์และส่งเงินคืนตามโครงการ 555
กฟผ.ร่วมกับพันธมิตร โอนเงินส่วนลดอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 วงเงิน 3 ล้านบาท พร้อมส่งไปรษณีย์แจ้งสิทธิล้างแอร์ฟรีแก่ประชาชนกว่า 23,000 ครัวเรือน คาดทั้ง 2 โครงการรวม สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าปีละกว่า 7.3 ล้านหน่วย
กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลมเบอร์ 5 และธนาคารกรุงไทย โอนเงินส่วนลดราคาอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 วงเงิน 3 ล้านบาท พร้อมส่งไปรษณีย์แจ้งสิทธิแก่ผู้แจ้งความจำนงล้างแอร์ฟรี
พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการ 555 ช่วยลดค่าใช้จ่ายคนไทย ซึ่งมีบริษัทผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และพัดลมเบอร์ 5 ร่วมลดราคาอุปกรณ์ 5% แก่ประชาชน จำนวน 23 บริษัท รวม 124 รุ่น โดยคืนเงินส่วนลดผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อโอนเข้าบัญชีผู้ซื้อพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ซึ่งจากการจัดกิจกรรมระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2551 มีผู้บริโภคเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 2,219 ราย เป็นเงินส่วนลดประมาณ 3 ล้านบาท ส่งผลให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1.36 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 4 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 700 ตันต่อปี
นอกจากนี้ ในโครงการแอร์สะอาด เพิ่มเงินบาทให้ครัวเรือน ภายหลังจากการเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 23,761 ราย โดย กฟผ.ได้ประสานงานกับพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.), สมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สรอ.) และร้านค้ากรีนช็อป ร่วมให้บริการล้างเครื่องปรับอากาศแก่ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่ง กฟผ. ได้ส่งจดหมายยืนยันสิทธิในการล้างเครื่องปรับอากาศฟรี ประกอบด้วย หนังสือยืนยันรายชื่อผู้ให้บริการในจังหวัดที่อาศัย หนังสือรับรอง และแบบสอบถามความพึงพอใจแก่ผู้ที่ได้รับสิทธิชุดแรกไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2551 จำนวน 15,000 ฉบับ และจะจัดส่งจำนวนที่เหลือ 8,314 ฉบับ ในวันนี้ เพื่อให้ประชาชนประสานงานติดต่อนัดหมายภายในสิ้นเดือนกันยายน 2551 ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 7.2 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 21.6 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 3,600 ตันต่อปี
ด้านนายบรรพต แสงเขียว ผู้ช่วยผู้ว่าการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ 5 มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน โดยจากผลการดำเนินงานใน 2 มาตรการ ข้างต้นนี้ ได้ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ส่งผลให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. มีแนวทางขยายต่อในปี 2552 ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เกิดอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กฟผ. จะเร่งดำเนินการในส่วนมาตรการ ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ไฟต์บังคับ ในส่วนเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ให้มีผลบังคับใช้ในต้นปี 2552 และมาตรการ Standby Power Loss 1 W ที่ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดกินไฟขณะปิดไม่เกิน 1 วัตต์ ให้แล้วเสร็จก่อนกรอบที่กระทรวงฯ กำหนดภายในปี 2554
นางศรีประภา พริ้งพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มสายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือว่า ธนาคารมีความพร้อมที่จะโอนเงินส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 แก่ประชาชนในโครงการ 555 เข้าบัญชีธนาคารที่กำหนดพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันนี้ (5 ส.ค.) โดยจะหักค่าธรรมเนียมการโอนเงินในอัตรา 5 บาทต่อ 1 รายการ จากเงินส่วนลดที่ผู้ซื้อได้รับ.
ขอแสดงความนับถือ
Chalermpol Sirichotiwong
Manager
Energy Saving Consultation Center
The Thai Chamber of Commerce
Tel: 0-2622-1860-70 Ext.312
Fax: 0-2622-2375
Email: escc@thaiechamber.com