ส่งข่าวด้านพลังงาน ประจำวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 ครับ
ESCC Energy Today August 28th , 2008
ประเด็นข่าว
1. เชลล์เว้นวรรคอี 20 หันลุยแก๊สโซฮอล์91
2. ธ.ก.ส.หนุนสินเชื่อพลังงานทดแทนตั้ง 3.5 หมื่นล.แก้ไขวิกฤตน้ำมัน
3. ดันออกกฎกระทรวง หนุนอนุรักษ์พลังงาน
4. กระทรวงพลังงาน ปลื้ม เดอะมอลล์ กรุ๊ป และ UNEP สานต่อนโยบายประหยัดพลังงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
5. กำลังผลิตล้นดิ้นส่งออก โรงงานผลิตเอทานอล กระอักนโยบายรัฐ
6. สศช.เพิ่มเป้า ศก.ปีนี้ผลมาตรการรัฐ-น้ำมัน
7. 6 มาตรการสิ้นฤทธิ์พิษดอกเบี้ย
8. มั่นใจเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหว
ข่าวประชาสัมพันธ์
- สนพ.ชวนเยาวชนผลิตสปอตโฆษณารักษ์พลังงานในกิจกรรมตามรอยตะวันฯ ครั้งที่ 6
- กระทรวงพลังงานเชิญวัยทีนประกวดโครงงาน พลังงานเพื่อลดภาวะโลกร้อน ( Big Ideas on Energy to Reduce Global Warming)
- ปตท.สผ.ปั้นเยาวชนไทยสู่ผู้ค้นหาปิโตรเลียมรองรับการขยายตัวของบริษัทในการแสวงหาพลังงานเพื่อประเทศ
- ปตท. จัดประกวดสร้างสรรค์งานโฆษณาโครงการ PTT Idea Makers Award
- กระทรวงพลังงานจับมือกฟผ.จัดโครงการประกวดเรียงความ ครอบครัวประหยัดไฟ สำหรับเด็กประถม-มัธยมปลาย ชิงทุนการศึกษา 10,000 บาท
เคล็ดลับสุขภาพ
ผลดีและผลเสียของการดื่มเบียร์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวพลังงาน
1. เชลล์เว้นวรรคอี20หันลุยแก๊สโซฮอล์91
เชลล์ ทิ้ง อี20 หันลุยแก๊สโซฮอล์ 91 แทน
นายธีรพจน์ วัชราภัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้เชลล์ยังไม่มีนโยบายเปิดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 จากเดิมที่วางแผนจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2551 แต่เมื่อนโยบายกระทรวงพลังงานต้องการผลักดันน้ำมัน อี85 ทำให้ต้องมาพิจารณาถึงปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่แท้จริงก่อน โดยหันมาเน้นเปิดขายแก๊สโซฮอล์91 ให้ได้ทั่วประเทศแทน
2. ธ.ก.ส.หนุนสินเชื่อพลังงานทดแทนตั้งเป้า3.5หมื่นล.แก้ไขวิกฤตน้ำมัน
ธ.ก.ส. หนุนสินเชื่อพลังงานทดแทน แก้วิกฤตน้ำมันแพง คาดปล่อยได้ถึง 35,000 ล้านบาททะลุเป้าที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท พร้อมทั้งจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิต และการศึกษาดูงานให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
3. ดันออกกฎกระทรวง หนุนอนุรักษ์พลังงาน
นายพานิช พงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยว่า กรมได้จัดทำร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และอยู่ระหว่างกระทรวงพลังงานเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบต่อไป นอกจากนี้กระทรวงพลังงานได้เริ่มนำร่องโครงการฉลากประสิทธิภาพสูงสำหรับส่งเสริมเตาแก๊สในครัวเรือน โดยขณะนี้มีผู้ผลิตเตาแก๊สในครัวเรือนเข้าร่วมโครงการแล้ว 10 ราย ขออนุญาตใช้ฉลากแล้ว 165,680 ใบ
4. กระทรวงพลังงาน ปลื้ม เดอะมอลล์ กรุ๊ป และ UNEP สานต่อนโยบายประหยัดพลังงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน ปลื้ม บริษัทในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป และโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNEP ที่ร่วมมือสานต่อนโยบายประหยัดพลังงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดโครงการรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน Think Green มุ่งหวังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนให้ลดใช้พลังงาน และหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม
พลโท หญิง พูนภิรมณ์ ลิปตพัลลภ กล่าว ในงานณรงค์ลดภาวะโลกร้อน Think Green ว่า โครงการ Think Green ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่เป็นแบบอย่างให้กับภาคธุรกิจค้าปลีกเอกชน ในเรื่องการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของกระทรวงพลังงานที่ปฎิบัติมาอย่างต่อเนื่อง
จากการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพ กระทรวงพลังงาน ได้ออกมาตรการประหยัดพลังงาน 11 มาตรการ ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 100,000 ล้านบาทต่อปี อาทิ
1) การปล่อยสินเชื่อครัวเรือน ดอกเบี้ยร้อยละ 0 ให้ประชาชน เพื่อการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ร่วมมือกับสถาบันการเงิน 13 แห่ง
2) การปล่อยสินเชื่อพลังงานให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ เพื่อลงทุน ปรับปรุงอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และพลังงานทดแทน - ร่วมมือกับสถาบันการเงิน 4 แห่ง
3) ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5
4) 1 วัตต์ รักษ์โลก ต้องผลิตอุปกรณ์ที่กินไฟเมื่อปิดเครื่องน้อยกว่า 1 วัตต์
5) การให้วัดและมัสยิดเป็นศูนย์กลางชุมชนในการเปลี่ยนมาใช้หลอดตะเกียบและหลอดผอมใหม่ ที5
6) โครงการ 555
7) การตั้งหน่วยพลังงานเคลื่อนที่ให้ความรู้ประชาชนในระดับรากหญ้า สร้างกระแสการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าในทุกจังหวัด
8) มาตรการออกแบบโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน (Building Energy Code) โดยออกกฎกระทรวงใหม่บังคับการออกแบบก่อสร้าง หรือต่อเติมอาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไป ต้องเน้นการอนุรักษ์พลังงาน ออกนโยบายบังคับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
9) การกำกับอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน/ อาคารควบคุม ISO พลังงาน (ออกกฎกระทรวง 3 ฉบับ)
10) การล้างแอร์ ปีละ 2 ครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่ประชาชนสามารถทำเองได้
11) ปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune UP) ทุกๆ 6 เดือน เพื่อลดการใช้พลังงาน
นอกจากนี้กระทรวงพลังงานยังมีแผนลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาโลกร้อน ให้ได้ร้อยละ 20 ต่อ 1 หน่วยพลังงานที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ภาคขนส่ง ภาคการกลั่น ภาคการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น ตลอดจนส่งเสริมโครงการด้านพลังงานของไทย ให้เข้ารับรองตามกลไกการพัฒนาพลังงานสะอาด หรือ CDM โดยเพิ่มเป้าหมายที่จะลดปริมาณ CO2 ให้ได้ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำในการส่งออกคาร์บอนเครดิตในเอเชียอีกด้วย
ความพยายามผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม ตลอดจนการสร้างความร่วมมือและความตระหนักถึงการประหยัดพลังงานในภูมิภาค ได้ถูกนำมาหารือในเวทีอาเซียน การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนพลังงาน (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 7-8 สิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพนั้น ก็แสดงจุดยืน และได้ขอให้ทุกประเทศในอาเซียนร่วมกันประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ตลอดจนการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งก็นับว่าเป็นวาระที่สำคัญวาระหนึ่งในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ผ่านมา
โครงการรณงค์ลดภาวะโลกร้อน Think Green ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนได้ตระหนัก และให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงสนับสนุนให้ประชาชนเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในชีวิตประจำวัน พลโท หญิง พูนภิรมณ์ กล่าว
5. กำลังผลิตล้นดิ้นส่งออก โรงงานผลิตเอทานอล กระอักนโยบายรัฐ
นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย เปิดเผยว่า จากความไม่ชัดเจนถึงนโยบายการส่งเสริมการใช้เอทานอลของ ภาครัฐบาล ส่งผลให้ขณะนี้ผู้ผลิตเอทานอล 6 แห่ง ได้แจ้งขอชะลอโครงการผลิตเอทานอลออกไปชั่วคราวก่อน เนื่องจากกำลังการผลิตมีเกินกว่า ความต้องการค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจุบันโรงงาน 11 แห่ง มีกำลังผลิตได้เต็มประสิทธิภาพถึง 2.2 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ความต้องการเอทานอลเดือน ก.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 800,000 ลิตรต่อวันเท่านั้น ทำให้โรงงานยังคงผลิตไม่เต็มที่ และการผลิตส่วนใหญ่ต้องหันพึ่งตลาดส่งออก
สำหรับโรงงาน 6 แห่ง ที่ขอชะลอโครงการประกอบด้วย 1. บริษัทเอ็นวายเอทานอล จำกัด จ.นครราชสีมา ใช้มันหรือกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ขนาดกำลังผลิต 150,000 ลิตรต่อวัน 2. บริษัทอุตสาหกรรมอ่างเวียน จำกัด จ.นครราชสีมา ใช้อ้อยหรือกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ขนาด 160,000 ลิตรต่อวัน 3. บริษัท น้ำตาลไทยเอทานอล จ.กำแพงเพชร กำลังผลิต 200,000 ลิตรต่อวัน 4. บริษัทไซอีกเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จ.ฉะเชิงเทรา ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ขนาดกำลังผลิต 400,000 ลิตรต่อวัน 5. บริษัทขอนแก่นแอลกอฮอล์ จำกัด จ.กาญจนบุรี ใช้กากน้ำตาล น้ำอ้อยและมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ขนาด 150,000 ลิตรต่อวัน และ 6. บริษัทขอนแก่นแอลกอฮอล์ จำกัด จ.ชลบุรี กำลังผลิต 100,000 ลิตรต่อวัน
โรงงานเอทานอลที่ได้รับการอนุญาตก่อสร้างทั้งหมดมีถึง 45 แห่ง กำลังผลิตรวมกันประมาณ 10 กว่าล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ภายในปีนี้ก็จะมีโรงงานเอทานอลเกิดขึ้นอีก 2 แห่ง กำลังผลิตอีก 200,000 ลิตรต่อวัน และในปี 2552 ก็จะทยอยเกิดอีก 4-5 แห่ง ขณะที่แผนการใช้เอทานอลเช่น แก๊สโซฮอล์อี 20 แก๊สโซฮอล์อี 85 ยังกลับไม่มีความคืบหน้าปัšมเกิดขึ้นน้อยมาก โดยหากรัฐส่งเสริมอี 85 ก็จะทำให้การใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
นายสิริวุทธิ์กล่าวว่า ราคาเอทานอลไตรมาส 3 ตามสูตรคำนวณของกระทรวงพลังงานอยู่ที่ 18.01 บาทต่อลิตร ซึ่งราคาในไตรมาส 4 ต้องติดตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพราะเริ่มลดลง อาจมีผลให้เอทานอล ลดต่ำลงได้เล็กน้อย ขณะที่ราคากากน้ำตาลหรือโมลาสในไทย ที่เป็นวัตถุดิบขณะนี้ยังคงมีทิศ ทางสูงเฉลี่ย 115 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ทำให้ผู้ผลิตบางรายหันขายโมลาสแทนการนำมาผลิตเอทานอล เพราะไม่คุ้มทุน
ปัจจุบันผู้ผลิตที่สร้างโรงงานแล้ว ต้องดิ้นรนในการหาตลาดส่งออกมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้การส่งออกมีความคุ้มทุนมากขึ้นกว่าอดีต แต่อุปสรรคในการรวมกลุ่มเพื่อทำการส่งออกยังไม่ได้รับการแก้ไขจากภาครัฐ เนื่องจากไม่สามารถเก็บในคลังเดียวกันได้ เพราะคุณภาพเอทานอลต่างกันและยังต้องมีการแยกลอตการส่งออกของแต่ละราย จึงทำให้ต้อง หาทางส่งออกเพียงรายเดียว ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายบางครั้งไม่คุ้มทุนนัก หากเทียบกับขายในประเทศ.
6. สศช.เพิ่มเป้า ศก.ปีนี้ผลมาตรการรัฐ-น้ำมัน
สศช.เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายตัว 5.3% ชะลอลงจากไตรมาสแรกแต่ไม่น่าเป็นห่วง ขณะที่ตัวเลขครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.7% ปรับเพิ่มประมาณการทั้งปีใหม่เป็น 5.2-5.7% จากเดิมคาดขยายตัว 4.5-5.5% ได้แรงหนุนจาก 6 มาตรการ 6 เดือนฯ ของภาครัฐ และราคาน้ำมันเริ่มลดลงต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม และรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ พร้อมเดินหน้าเมกะโปรเจกท์สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2551 ว่าอัตราการขยายตัวยังอยู่ในระดับน่าพอใจ โดยขยายตัว 5.3% แม้จะชะลอลงจาก 6.1% ในไตรมาสแรก แต่เมื่อเฉลี่ยตัวเลขใน 6 เดือนแรกปีนี้ เศรษฐกิจขยายตัว 5.7% สูงกว่าระดับ 4.2% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ สศช.ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มจากเดิมที่ 4.5-5.5% เป็น 5.2-5.7%
ทั้งนี้มาจากราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลงตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม และผลจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อไทยทุกคนของรัฐบาล เริ่มมีผลกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่ปริมาณส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าเดิม เห็นได้จากการส่งออกรวม 7 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 27.4% สูงกว่าคาดการณ์ที่ตั้งไว้ 13.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมัน จึงได้ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อจาก 6.5-7% เหลือ 5.3-5.8% และไม่น่าทำให้อัตราเงินเฟ้อในปีนี้สูงถึงเลข 2 หลัก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ ดุลชำระเงินมีแนวโน้มลดลง การเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศเริ่มมีสัญญาณมากขึ้น เพราะเป็นการปรับพอร์ตลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ชดเชยจากความเสียหายเศรษฐกิจในสหรัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นักธุรกิจ แม้ราคาน้ำมันจะเริ่มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง ปัญหาค่าครองชีพแพง ความไม่แน่นอนจากปัญหาการเมืองที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สศช.ยังเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ การติดตาม 6 มาตรการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีผลต่อการใช้จ่าย การดูแลราคาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ การเร่งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและนักลงทุน การเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกท์) ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนกล้าตัดสินใจลงทุนมากขึ้น เชื่อมั่นว่าการส่งออกยังเป็น
กลไกสำคัญในการทำรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงต้องดูแลภาคส่งออกให้มีความสามารถในการแข่งขันต่อเนื่อง
7. 6 มาตรการสิ้นฤทธิ์พิษดอกเบี้ย
น.ส.ดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 27 ส.ค.ว่า คณะกรรมการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน) อีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอยู่ที่ 3.75% จาก 3.5% ในครั้งก่อน ซึ่งสอดคล้องกับความคาดการณ์ของตลาด ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจของสถาบันวิเคราะห์เอกชนหรือการสำรวจของ ธปท. กับสถาบันการเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของ ธปท.
จากอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันและการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตข้างหน้าที่ยังสูงอยู่ รวมทั้ง กรณีที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่า ราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับขึ้นอีกครั้งในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ ทำให้ กนง.มีความเห็นว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงสูงอยู่และต้องให้ความสำคัญ ขณะที่เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี แม้ว่าการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐและเอกชนจะแผ่วลงในไตรมาสที่ 2
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะเป็นการการันตีว่าเงินเฟ้อในระยะยาวจะไม่กลับมาสูงขึ้นอีกโดยจากการประเมินอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 6-8 ไตรมาสข้างหน้า พบว่าเมื่อขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้แล้วฐานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 0-3.5% หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ก.ค.อยู่ที่ 3.7% นอกจากนั้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะทำให้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบน้อยลง อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงยังติดลบ 4.8% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ติดลบ 2% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ธปท.ยังผ่อนคลายนโยบายการเงินอยู่มาก
น.ส.ดวงมณี กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นและการขยายตัวของเศรษฐกิจจะลดลง ยังมีอยู่ทั้ง 2 ด้าน เพราะในประมาณการขั้นเลวร้ายของ ธปท.ยังมีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะหลุดเป้าหมาย ธปท.มี 2 หน้าที่หลักที่ต้องดูแลทั้งเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่ถ้าให้เลือกต้องเลือกเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่สำคัญ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับภูมิภาคแล้ว การขึ้นที่ 0.25% ยังจะสามารถสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไปได้ และจะยังไม่กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจมากนัก นอกจากนั้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น จะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวในตลาดปรับขึ้นไม่มาก
แต่สิ่งที่กดดันภาวะเศรษฐกิจของไทยในช่วงนี้ คือความไม่เชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนซึ่งมาจากปัจจัยความไม่แน่นอนที่เกิดจากการชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาล ซึ่งทำให้ประชาชนและนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในการใช้จ่ายและการลงทุน อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ กนง.ได้ปรับขึ้นตามปัจจัยเศรษฐกิจและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริง ไม่ได้นำปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในช่วงต่อไปมาพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ เพราะการประชุมในครั้งนี้ อยู่ใกล้เหตุการณ์มากเกินไป แต่หากสถานการณ์ไม่รุนแรงจนถึงเลือดตกยางออกก็น่าจะอยู่ภายใต้สมมติฐานเดิมที่ ธปท.ตั้งไว้
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เอกชนคาดหวังว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยไว้ แต่เมื่อปรับขึ้นก็ต้องยอมรับ โดยผลจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้คาดว่าจะมีส่วนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังให้ขยายตัวลดลงกว่าที่คาดหมายไว้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่จะประสบกับภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นในครึ่งปีหลัง 6 มาตรการของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นคงจะช่วยให้การขยายตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง แต่เมื่อมาขึ้นดอกเบี้ยก็อาจทำให้เอกชนต้องระมัดระวังการลงทุนใหม่ๆหรือขยายการลงทุนก็คงจะลำบาก เพราะต้นทุนเพิ่มทุกด้านโดยเอสเอ็มอีค่อนข้างน่าเป็นห่วง
นายสมมาต ขุนเศรษฐ รองเลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังมากที่ กนง.มีมติขึ้นดอกเบี้ยซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้แบงก์พาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปอีก
ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยว่า เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยตนยังมีความเห็นแตกต่าง เพราะมองกันคนละบริบท ตนยังมองในบริบทในการเติบโตของเศรษฐกิจ ก็ยังยืนยันทุกๆองคาพยพที่จะนำไปสู่ความสามารถให้เศรษฐกิจพ้นภาวะการชะลอตัว และยังคงมองว่าสาเหตุของเงินเฟ้อที่มาจากความร้อนแรงของเศรษฐกิจ การขึ้นดอกเบี้ยทำให้ ชะลอได้ แต่เงินเฟ้อที่มาจากต้นทุน การขึ้นดอกเบี้ยไม่มีผล อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับและเข้าใจการตัดสินใจของ กนง.ที่ขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ออมเงิน.
8. มั่นใจเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหว
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจนัดแรกว่า คณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาและดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ 7 ข้อคือรักษากำลังซื้อในประเทศซึ่งสอดคล้อง กับ 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติ เพื่อคนไทยอยู่แล้วรวมทั้งให้รักษาตลาดส่งออกของไทยให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รักษาระบบของสินค้าเกษตรให้ได้ราคาดี รักษาสภาพคล่องให้เพียงพอกับความต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะในสาขาที่ต้องการสินเชื่อจำนวนมากในขณะนี้ ทั้งการท่องเที่ยว การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้องใช้นโยบายการเงินที่ส่งเสริมให้มีสภาพคล่องเพียงพอรวมทั้งดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ แต่ไม่ได้หมาย ความว่า จะใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อน เพราะจะเป็นปัญหาต่อต้นทุนราคาสินค้าที่สำคัญอย่างราคาน้ำมันที่ปัจจุบัน แม้จะมีราคาอ่อนลงแต่ยังมีความผันผวนอยู่มาก ส่วนข้อเสนอสุดท้ายคือ การดูแลการระดมทุนให้เกิดขึ้นในตลาดทุนได้อย่างกว้างขวางและคล่องตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาฯเห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังนั้น แม้จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจคือ เติบโตได้ในระดับที่ 5.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 6.5% แต่เศรษฐกิจอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งอย่างที่คาดหวังได้ เพราะการบริโภคของเอกชนไม่สูงขึ้นและยังทรงตัว ขณะเดียวกันการลงทุนของภาคเอกชนยังต่ำอยู่
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังได้หารือกันอย่างกว้างขวางในหลายๆประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องของสภาพคล่องในครึ่งปีหลัง ที่อาจตึงตัวมากขึ้น รวมไปถึงการผลักดันให้สถาบันการเงินเข้ามาช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีให้มากขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐที่จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาของเอสเอ็มอีและประชาชนรายย่อยที่มีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะนำเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในครั้งต่อไปเพื่อให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงเรื่องสถานการณ์พลังงานที่ยังเห็นว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะอยู่ในช่วง 110-120 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เรื่องพืชผลทางการเกษตรที่จะมีผลผลิตออกมามากขึ้น จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และที่ประชุมยังแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังเบิกจ่ายได้น้อย จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการใช้จ่ายโดยมี รมว.คลังเป็นประธานรวมทั้งได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนหรือ กรอ. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและประชุมร่วมกันเดือนละครั้ง.
ข่าวประชาสัมพันธ์
- สนพ.ชวนเยาวชนผลิตสปอตโฆษณารักษ์พลังงานในกิจกรรมตามรอยตะวันฯ ครั้งที่ 6
สนพ.ขอเชิญชวนเยาวชนระดับอุดมศึกษา ร่วมกิจกรรมตามรอยตะวัน รวมพลังหาร 2 ครั้งที่ 6 ณ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมฝึกผลิตภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์รณรงค์ประหยัดพลังงาน โดยเยาวชนที่สนใจสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 ก.ย.2551 ทาง www.thaienergynews.com หรือ www.eppo.go.th
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สนพ.ได้รณรงค์ให้ความรู้และ ปลูกจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงานผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องสู่กลุ่มเยาวชน เนื่องจาก สนพ.เล็งเห็นว่าเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานของบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวและสถานศึกษา โดยกิจกรรมต่างๆ ที่ทางสนพ.จัดขึ้นมีหลากหลาย อาทิ กิจกรรมค่ายเยาวชนอนุรักษ์พลังงาน โครงการ Energy Fantasia กิจกรรมตามรอยตะวัน รวมพลังหาร 2 ฯลฯ
สำหรับกิจกรรมตามรอยตะวันรวมพลังหาร 2 ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีแล้ว โดยในแต่ละปีจะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป โดยให้ความรู้ทั้งทางด้านพลังงานทดแทน การอนุรักษ์พลังงาน เช่น เรียนรู้เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ อย่างไรก็ดีการจัดกิจกรรมในแต่ละปีมีเป้าหมายเดียวกันคือการมุ่งหวังให้เยาวชนได้เรียนรู้เรื่องพลังงานจากสถานที่จริง รู้จักคุณค่าของพลังงาน เกิดจิตสำนึกและเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงานซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติและปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
โดยล่าสุดได้เตรียมจัดกิจกรรม ตามรอยตะวัน รวมพลังหาร 2 ต่อเนื่อง เป็นปีที่ 6 ภายใต้ชื่อตอน ปิดเทอมเล็ก ถึงทีเด็กสร้างสรรค์ (งาน) โฆษณา ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15 18 ต.ค. 50 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เยาวชนเข้าใจข้อมูลการเผยแพร่ความรู้เรื่องพลังงานทดแทนและแลกเปลี่ยนความรู้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ซึ่งจะเป็นการจุดประกายให้เกิดความสนใจเรื่องพลังงานมากขึ้น
ตามรอยตะวัน รวมพลังหาร 2 ครั้งที่ 6 เปิดโอกาสให้เยาวชนระดับอุดมศึกษา หรือเทียบเท่า ร่วมเล่าเรื่องผ่านภาพนิ่งแบบต่อเนื่อง (Photo series) พร้อมคำบรรยายใต้ภาพ ภายใต้แนวคิด หนึ่งวิธีคิด กู้วิกฤตพลังงาน โดยคณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 50 คน จากความสามารถในการนำเสนอภาพถ่ายพร้อมคำบรรยายที่สื่อสารถึงการรณรงค์ประหยัดพลังงาน โดยเริ่มรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 กันยายน 2551 และจะประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในวันที่ 30 กันยายน 2551
สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลักได้แก่ กิจกรรมทัศนศึกษาแปลงสาธิตการปลูกพืชน้ำมัน (แม่เหียะ) ชมกระบวนการผลิตไบโอแก๊ส (Biogas) และ กิจกรรมฝึกหัดผลิตภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์รณรงค์ประหยัดพลังงาน โดยเยาวชนจะได้เรียนรู้กระบวนการถ่ายทำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์โทรทัศน์ ความยาว 30 วินาที ซึ่งเยาวชนที่สนใจ สามารถสมัครได้ ทางเว็บไซต์ www.thaienergynews.com และ www.eppo.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2612-1555 ต่อ 204-205
เยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยต่อยอดเรื่องการอนุรักษ์พลังงานของชาติได้เป็นอย่างดี เนื่องจากวัยนี้เป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้ มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ สามารถนำความรู้ที่ได้รับเผยแพร่ต่อไปยังบุคคล อื่นๆ ได้ รวมถึงกระตุ้นจิตสำนึกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน นายวีระพล กล่าว
- กระทรวงพลังงานเชิญวัยทีนประกวดโครงงาน พลังงานเพื่อลดภาวะโลกร้อน ( Big Ideas on Energy to Reduce Global Warming)
กระทรวงพลังงาน จัดประกวดโครงงานด้านพลังงานระดับเยาวชน โดยเชิญเยาวชนมัธยมต้น-ปลายประดิษฐ์นวัตกรรมในหัวข้อ พลังงานเพื่อลดภาวะโลกร้อน (Big Ideas on Energy to Reduce Global Warming) ผู้ผ่านการแข่งขันรอบแรกจะได้รับเชิญร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมในค่าย ต้นกล้าพลังงาน โดยเยาวชนที่สนใจสามารถส่งใบสมัครมาที่ สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักปลัดกระทรวงกระทรวงพลังงาน เลขที่ 17 เชิงสะพานกษัตริย์ศึก (ยศเส) ถนนพระรามที่ 1 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม.10330 โทร.0-2224-3894, 0-2223-3344 ต่อ 2300, 2323, 2355, 2356
ส่วนเยาวชนต่างจังหวัดส่งที่สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 และสำนักงานพลังงานจังหวัดใกล้บ้าน หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.energy.go.th ทั้งนี้สามารถสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึง 29 สิงหาคม 2551 นี้
- ปตท.สผ.ปั้นเยาวชนไทยสู่ผู้ค้นหาปิโตรเลียมรองรับการขยายตัวของบริษัทในการแสวงหาพลังงานเพื่อประเทศ
ปตท.สผ.เดินหน้าจัดทำโครงการ ปตท.สผ.สร้างคน ค้นหาปิโตรเลียม ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังจากประสบความสำเร็จด้วยดี เด็กและเยาวชนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดให้ความสนใจในอาชีพนักสำรวจปิโตรเลียมมากขึ้นเรื่อย ๆ เตรียมพร้อมเดินสายประชาสัมพันธ์แนะนำบริษัทฯแก่โรงเรียนทั่วทุกภาค และแนะโอกาสทางการศึกษาในสายอาชีพนักธรณีและวิศวกรปิโตรเลียมซึ่งเป็นกำลังเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ จนจบระดับปริญญาตรี และให้โอกาสในการรับการคัดเลือกเพื่อเข้าทำงานกับ ปตท.สผ. ซึ่งกำลังขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ (Anon Sirisangtaksin) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ปตท.สผ.ได้จัดทำโครงการ ปตท.สผ.สร้างคน ค้นหาปิโตรเลียม ขึ้นเป็นปีที่ 3 ซึ่งจะเริ่มเดินสายประชาสัมพันธ์ในเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำ ให้ความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมเกี่ยวกับสายวิชาชีพสาขาธรณีศาสตร์ปิโตรเลียม (Petroleum Geosciences) และวิศวกรรมปิโตรเลียม แก่นักเรียนและครูอาจารย์ให้มาสนใจในสายวิชาชีพนี้ ซึ่งเป็นสายอาชีพสำคัญในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่กำลังขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นนักธรณีวิทยา นักธรณีฟิสิกส์ และวิศวกรปิโตรเลียม ซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันสำรวจหาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับ ปตท.สผ. มีแผนจะขยายการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอีกหลายแห่งในอนาคต จึงต้องการบุคลากรด้านสาขาธรณีศาสตร์ปิโตรเลียมและวิศวกรรมปิโตรเลียม เพื่อรองรับกับการขยายตัวของบริษัทฯ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ปตท.สผ. ได้ริเริ่มโครงการ ปตท.สผ.สร้างคน ค้นหาปิโตรเลียม ขึ้นตั้งแต่ปี 2549 โดยได้เดินสายประชาสัมพันธ์แนะนำความรู้แก่นักเรียนและครูอาจารย์เกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจของ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งชาติ และมีมูลค่าทุนตามราคาการตลาด (Market Capitalization) สูงเป็นอันดับที่สองของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันมีโครงการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียมถึง 40 โครงการ ใน 14 ประเทศทั่วโลก และมีแผนงานจะขยายการลงทุนในระยะยาวเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ จึงต้องการบุคลากรในสายวิชาชีพนี้มารองรับเป็นจำนวนมาก และเป็นโอกาสที่ดีที่เยาวชนจะได้รู้จักกับอาชีพที่มีความสำคัญกับประเทศ พร้อมกับเป็นอาชีพที่สามารถสร้างความมั่นคงและสร้างโอกาสความก้าวหน้ากับอนาคตให้กับเยาวชนได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่ริเริ่มโครงการ ปตท.สผ.สร้างคน ค้นหาปิโตรเลียม เมื่อสองปีที่ผ่านมารวมครั้งนี้ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ปตท.สผ.ได้เดินสายประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างนักสำรวจปิโตรเลียมที่มีคุณภาพในอนาคตรวม 30 โรงเรียน ใน 17 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นครสวรรค์ เพชรบุรี เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ตรัง และได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนระดับมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์-คณิตที่มีความตั้งใจจะเข้าศึกษาในสายวิชาชีพนี้ และมีคุณสมบัติเหมาะสมไปแล้ว จำนวน 38 ทุน และคาดว่าจะให้ในปีนี้อีก 25 ทุน ซึ่งที่ผ่านมาประสบความสำเร็จด้วยดี นักเรียนทุนเกือบทั้งหมดได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาธรณีวิทยา และวิศวกรรมปิโตรเลียม โดย ปตท.สผ. ยังคงสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาในโครงการฯ อย่างต่อเนื่องจนจบมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นจะคัดเลือกนักเรียนกลุ่มดังกล่าวเข้าปฏิบัติงานกับบริษัทฯ เพื่อร่วมปฏิบัติภารกิจสำคัญในการสำรวจหาแหล่งพลังงานทั้งในและต่างประเทศให้กับประเทศไทยของเราต่อไป
นอกจากการเดินสายประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนแล้ว โครงการ ปตท.สผ. สร้างคน ค้นหาปิโตรเลียม ยังจัดหาสื่อการเรียนการสอนที่ช่วยส่งเสริมความรู้ด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้กับโรงเรียน จัดอบรมครูอาจารย์ พร้อมทั้งนำคณะครูอาจารย์เข้าเยี่ยมชมแหล่งผลิตปิโตรเลียมของ ปตท.สผ. เพื่อเกิดความเข้าใจและสามารถให้คำแนะนำหรือถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียนเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกศึกษาวิชาชีพนี้ในระดับมหาวิทยาลัยได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับนักเรียนที่รับทุนการศึกษาจากโครงการนี้ ปตท.สผ. ได้เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้ศึกษารายละเอียดของวิธีการสำรวจปิโตรเลียม โดยจัดแคมป์นักสำรวจปิโตรเลียม (Next Explorer Camp) ให้เด็กนักเรียนได้สัมผัสกับการปฏิบัติงานจริงในภาคสนามของนักสำรวจปิโตรเลียมอีกด้วย
นอกจากทุนการศึกษาในโครงการ ปตท.สผ.สร้างคน ค้นหาปิโตรเลียม แล้ว ปตท.สผ.ยังมีโครงการมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนทุกระดับชั้นทั่วประเทศที่เรียนดีแต่ขาดแคลน ทุนทรัพย์เป็นประจำทุกปีตามนโยบายส่งเสริมการศึกษาของบริษัทฯ เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยมีทุนการศึกษาที่มอบไปแล้วกว่า 5,500 ทุน
- ปตท. จัดประกวดสร้างสรรค์งานโฆษณาโครงการ PTT Idea Makers Award
ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 390,000 บาท ขอเชิญนิสิต นักศึกษา ร่วมโครงการประกวดภาพยนตร์สารคดีสั้นความยาว 3 นาที เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 1 กันยายน 2551
นายสรัญ รังคสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. ได้จัดโครงการจัดประกวดภาพยนตร์สารคดีสั้นความยาว 3 นาที และการเขียนข้อความโฆษณา ภายใต้หัวข้อการประกวด ปตท. พลังงานที่ยั่งยืน เพื่อไทย ภายใต้โครงการ PTT Idea Makers Award :กลั่นความคิด ผลิตหนังสารคดี กับปตท. ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 390,000 บาท ผลงานภาพยนตร์สารคดีสั้นที่ชนะการประกวดจะได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชน ผ่านทางสื่อโฆษณาภายใต้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
โครงการ PTT Idea Makers Award : กลั่นความคิด ผลิตสารคดี กับปตท. เป็นโครงการที่ ปตท. ส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นเวทีทดลองที่เปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาได้แสดงผลงานที่ได้จากการศึกษานำมาปฏิบัติงานจริง จากการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ ในงานผลิตสารคดีสั้น หรือผลงานประเภทการเขียนข้อความโฆษณา โดยกำหนดหัวข้อการประกวดที่ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสศึกษาข้อมูลต่างๆ ทางด้านพลังงาน รวมทั้งวิกฤตการณ์น้ำมันของประเทศไทย นอกจากนั้นยังทำให้ตระหนักในความสำคัญของพลังงาน เกิดจิตสำนึกในการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงาน และเกิดการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่ามากขึ้น โดยได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 สิงหาคม ศกนี้
สำหรับผลงานประเภทสารคดีสั้นที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบที่สอง จำนวน 15 ผลงาน จะได้เข้าร่วมกิจกรรม Work Shop กับผู้เชี่ยวชาญในวงการผลิตภาพยนตร์โฆษณาและ สารคดี และผู้ที่ผ่านเข้ารอบตัดสิน ประเภทภาพยนตร์สารคดี และ ประเภทข้อความโฆษณา โดยรางวัลทั้งสองประเภท ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และรางวัลชมเชย
อนึ่ง สำหรับนิสิต นักศึกษา ที่สนใจสามารถรับใบสมัครและส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2551 โดยผู้ส่งผลงานต้องมีอายุไม่เกิน 30 ปี ยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า สามารถรับใบสมัคร และส่งผลงานได้ที่ มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ, U CHANNEL STUDIO ทุกสาขา, เข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.pttplc.com และ
www.mahalaicity.com
- กระทรวงพลังงานจับมือกฟผ.จัดโครงการประกวดเรียงความ ครอบครัวประหยัดไฟ สำหรับเด็กประถม-มัธยมปลาย ชิงทุนการศึกษา 10,000 บาท
กระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกันจัดโครงการประกวดเรียงความ เรื่อง ครอบครัวประหยัดไฟ สำหรับเยาวชนระดับชั้นประถมศึกษาชันปีที่ 1-6 ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า และเพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงคุณค่าของพลังงานไฟฟ้าและใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเยาวชนที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดจะต้องเขียนเรียงความภายใต้แนวคิดการช่วยครอบครัวประหยัดไฟฟ้า ความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 ชิงรางวัลชนะเลิศทุนการศึกษา 10,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร โดยส่งผลงานได้ 2 ช่องทาง คือ ทางไปรษณีย์ จ่าหน้าถึง โครงการประกวดเรียงความครอบครัวประหยัดไฟ มาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 53 หมู่ 2 ถ.จรัญสนิทวงศ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130 หรือส่งทางอีเมล์ ที่ pr_image@egat.co.th ซึ่งสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2551 ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.egat.co.th
เคล็ดลับสุขภาพ
ผลดีและผลเสียของการดื่มเบียร์
ใครที่ชอบดื่มเบียร์ วันนี้มีผลดีและผลเสียของการดื่มเบียร์มาบอก...ครับ
เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนติดใจเป็นหนักหนา เพราะรสชาติที่มันนุ่มลิ้นดีแท้
นักวิจัย กล่าวว่า เบียร์นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อหัวใจ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่าผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุ 2,200 คน ที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน จะมีการเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลง 50 เปอร์เซ็นต์
เบียร์ยังดีต่อสมองอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่หนึ่งถึง 6 แก้วต่อสัปดาห์ จนถึงผู้ที่ดื่ม 7-14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย แต่ถ้าผู้ที่ดื่มเกินกว่านี้ก็จะมีอาการชักได้มากที่สุด เพราะเบียร์สามารถช่วยลดขนาดเม็ดเลือดและไม่ทำให้เลือดไปครั่งที่สมองได้
นอกจากนี้เบียร์ยังช่วยในการลดความเครียด ลดความกังวล และความประหม่าได้ รวมทั้งยังทำให้อารมณ์ดี แถมยังมีสารอาหารอย่าง โปรตีน วิตามิน B ฟอสฟอรัส แมคเนเซียม เซเลเนี่ยม และธาตุเหล็ก
ผลเสียของเบียร์
ไม่ใช่เฉพาะเบียร์ที่จะทำให้เกิดผลเสีย เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทำให้เกิดผลเสียทุกชนิด โดยเฉพาะกับตับ ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญเบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะดื่มเบียร์ครั้งต่อไป ก็ลองคิดให้ดีๆ ก่อนดื่ม เพื่อสุขภาพที่ดี
ขอแสดงความนับถือ
Chalermpol Sirichotiwong
Manager
Energy Saving Consultation Center
The Thai Chamber of Commerce
Tel: 0-2622-1860-70 Ext.312
Fax: 0-2622-2375
Email: escc@thaiechamber.com