สืบเนื่องจากศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกจากเดิมเป็นกลุ่มประเทศ เศรษฐกิจใหม่ BRIC-VT (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน เวียดนาม และตรุกี) โดยเฉพาะประเทศจีน อินเดีย และเวียดนาม มีประชากรรวมถึง 2,500 ล้านคน (กึ่งหนึ่งของประชากรโลก) จึงเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงทั้งด้าน กำลังทรัพย์และขนาดตลาด สหภาพเมียนม่าร์และประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมต่อตลาดทั้งสามได้โดยสะดวกจึงมีความได้เปรียบในเชิง ยุทธศาสตร์ที่ตั้งที่จะเชื่อมต่อกับศูนย์ กลางการค้าใหม่ของโลก ประกอบกับด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นผลให้โลกของการประกอบธุรกิจไร้พรมแดน การทำธุรกิจสมัยใหม่ไม่มีข้อจำกัดของที่ตั้งแหล่งผลิตและตลาดอีกต่อไป แต่ให้สำคัญที่ความสามารถในการควบคุม คุณภาพ ราคา และเวลาการขนส่ง ระบบลอจิสติกส์จึงเป็นผู้เล่นสำคัญในการบริการ จัดการความได้เปรียบเชิงธุรกิจพื้นที่ทวาย มีความเหมาะสมสามารถเชื่อมต่อแหล่งผลิต แหล่งวัตถุดิบ และตลาดของโลกได้อย่างมีประสทธิภาพรัฐบาลไทยและสหภาพเมียนม่าร์ได้ลงนามในบันทึกความตกลง (MOU)

ที่จะร่วมพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายและโครงการถนนเชื่อมต่อทวาย-กรุงเทพ มหานคร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2551 โดยมีบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเนต์ จำกัด (มหาชน) เข้าไปลงทุนเช่าที่ดินเพื่อ พัฒนาท่าเรือทวายเป็นระยะเวลา 60 ปี โดยได้รับสิทธิ์สัมปทานในการบริหารท่าเรือ และพื้นที่ต่อเนื่องในลักษณะสร้าง-บริหาร-โอน (BOT)
ท่าเรือทวายนี้เป็นท่าเรือน้ำลึกธรรมชาติที่มีร่องน้ำลึกถึง 50 เมตร ซึ่งประกอบ ด้วยท่าเรือพาณิชย์ (Commercial port) และท่าเรืออุตสาหกรรม (Industrial Port) ที่สามารถรองรับปริมาณสินค้าได้ 175 ล้านตัน/ปี และมีการจัดเตรียมพื้นที่หลังท่า 170 ตร.กม.สำหรับพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งบริเวณโครงการเป็นที่ตั้งของแหล่งผลิต ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน จึงเหมาะสำหรับ เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคอล และเม็ดพลาสติก อีกทั้งสหภาพเมียนม่าร์ มีสินแร่อุตสาหกรรมคุณภาพสูงที่มีความพร้อมที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและอิเล็กทรอนิกส์
ทวายนอกจากจะสามารถเชื่อมต่อโลกทางทะเลแล้วจะมีโครงข่ายทางหลวงเชื่อมต่อประเทศไทยผ่านจังหวัดกาญจนบุรี (ทวาย-บ้านเก่า-กาญจนบุรี : A-123) โดย มีระยะทางระหว่างทวายและกาญจนบุรี 230 กม. ซึ่งปัจจุบันบริษัท ITD อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างทางขนาด 2 ช่องจราจร และมีแผนจะขยายเป็น 4 และ 8 ช่องจราจรในอนาคต และมีแผนพัฒนา โครงข่ายทางรถไฟเชื่อมต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อขนส่งพลังงาน เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งทวายมีท่าอากาศที่มีทางวิ่งคอนกรีตขนาด มาตรฐาน และมีความพร้อมที่จะพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์ระดับนานาชาติเพื่อตอบสนองการลงทุนในอนาคตอันใกล้

เนื่องจากโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงท่าเรือปากบารา จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาโครงการสะพานเศรษฐกิจ (Land Eco-nomic Corridor หรือ Land Bridge) ซึ่งเชื่อมทะเลอันดามันและอ่าวไทยด้วยโครงข่ายคมนาคม (ถนน ราง และ ท่อขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) โดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีคอลที่บริเวณพื้นที่หลังท่าเรือในลักษณะคล้ายกันกับรูปแบบของท่าเรือ ทวายคงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าไทยได้เสียโอกาสทองในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้ง