เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า โลกาภิวัตน์ ได้ก่ออาการแผ่ซ่าน ทับซ้อนกันแบบไร้พรมแดน พร้อมกับการขยายตัวของการผลิตจากเทคโนโลยีใหม่ ทำให้เกิดสภาพการค้าเสรีไร้พรมแดน ทำให้ทุกฝ่ายเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัว แข่งขัน พัฒนาตนให้อยู่รอดได้ในเงื่อนไขใหม่ ทั้งในทางสร้างประสิทธิภาพให้สูงด้วยการจัดการที่ดี อาวุธที่ใช้รุกรบเพื่อยึดครองเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ จะมีเป็นลำดับ คือ เริ่มต้นด้วยการวางยุทธศาสตร์และตั้งเป้าการขยายอาณาเขตพร้อมลำดับก่อนและหลัง ดังเช่น ออสเตรเลีย ที่วางเป้าหมายขยายอาณาเขตมาในภูมิภาคเอเชีย หรือญี่ปุ่นที่ตั้งเป้าเข้าอาเซียนแล้วตามด้วยอินโดจีน เช่นเดียวกับจีนที่ขยายเข้าเอเชียใต้และไปลงทุนในแอฟริกา นี่คือ ธรรมชาติใหม่ที่ผู้นำประเทศและพ่อค้านักธุรกิจระดับผู้นำของบรรษัทระดับโลกจะทำได้ และต้องทำเพื่อตามทันโลกใหม่ที่มีช่องโอกาสเปิดขึ้นตามกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลกาภิวัตน์ ทั้งนี้ปัจจัยเบื้องหลังของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ตามเป้าที่ตั้งไว้นี้มาจาก 3 ปัจจัย คือ
1. กิเลสมนุษย์ (เจ้าของทุน) อันเป็นธรรมชาติที่อยากได้อยากมีมากขึ้น ปัจจัยข้อนี้สะท้อนออกมาได้ 2 ทาง คือ ผู้นำรัฐบาลกับผู้นำในภาคเอกชนที่ประสานกันและเป็นตัวทำงานตามกลไกของการค้าเสรี เช่น กลุ่มทุนบริษัทญี่ปุ่นที่รวมตัวและใช้รัฐบาลดำเนินการ หรือแม้แต่ไทยก็มีความสัมพันธ์ของกลุ่มธุรกิจการเมืองที่คู่ขนานไปกับ กรอ. สะท้อนถึงการเมืองที่แยกไม่ขาดจากธุรกิจหรืออาจอยู่เบื้องหลังการชักนำและกำกับของธุรกิจเอกชน ไม่ต่างกันนัก
2. การก้าวข้ามและครอบงำเข้ายึดครองเศรษฐกิจด้วยกลไกในตลาดทุนโลก สมัยใหม่ ที่ใช้นโยบายการเงินเสรีนำหน้า
3. การเข้าครอบงำสังคมและการเมืองด้วยกุศโลบายด้านต่างๆ เพื่อเอาเปรียบ กอบโกยผลประโยชน์ พร้อมกับเข้าถือครองทรัพยากรและการครอบงำทางความคิด ด้วยกลวิธีการมอมเมาให้เกิดความเกิดความอ่อนแอและขัดแย้งแตกสามัคคีกัน ด้วยการโปรยปรายผลประโยชน์ให้ ทั้งนี้ กลไกสำคัญอันเป็นอาวุธที่ใช้คือ การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นหัวหอกและปัจจัยตัวนำในการรุกรบ โดยเฉพาะการทำลายวัฒนธรรมเดิมและสร้างสมรัฐบาลใหม่ หากมองย้อนกลับไป จะเห็นไม่ยากว่าเหตุการณ์วิกฤติที่ผ่านมา คือ ผลพวงจากการก้าวรุกเป็นชั้นๆ ตามยุทธศาสตร์ที่มีการวางไว้แล้วล่วงหน้าทั้งสิ้น วิกฤติฟองสบู่แตก ปี 2540 คือกลเม็ดที่จงใจของ “พลังทุนใหม่” ของประเทศร่ำรวยที่ปล่อยให้เงินไหลเข้ามาเพื่ออ่อยให้กู้มากจนติดกับดัก จากนั้นเมื่อเผลอกู้มาใช้อย่างระเริงลืมตัวและมากเกินตัวแล้ว ปฏิบัติการทุบหรือเรียกเงินกู้คืนจึงเกิดขึ้น ซึ่งการแก้ไขคือ การต้องชดใช้ด้วยการต้องยอมสูญเสียทรัพย์สินและสิทธิต่างๆ ให้แก่ต่างชาติ ทั้งหมดคือ การดำเนินการตามมาตรการ “การเงินเสรีโลก” ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้า บริการการเงินและสถาบันการเงิน รวมไปถึงธุรกิจสื่อที่ผูกโยงกับ
ธุรกิจด้านกีฬา เช่นฟุตบอล ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจการศึกษาต่างอยู่ในเป้าหมายของฝ่ายรุกทั้งสิ้น
วิกฤติต่อมาเป็นวิกฤติเงียบ ที่เป็นการรุกและเข้าถือครองเศรษฐกิจผ่านตลาดการลงทุนแบบเปิด คือ การทำผ่าน “ตลาดทุน” พร้อมกับการดำเนินการตาม [MERGER ENDGAME] หรือที่ผมเรียกว่า "กลยุทธ์ทางรวยสุดขอบฟ้า" นโยบายส่งเสริมการลงทุน คือ ประตูที่เปิดทางเดินเข้าสะดวก เริ่มจากเข้ามาร่วมทุนกับทุนท้องถิ่น แล้วจากนั้นก็ชวนให้ขยาย ซึ่งเมื่อ SCALE ใหญ่เกินกำลังทุนท้องถิ่น ก็จะถูกชี้ชวนให้ขายหุ้นให้โดยตรง หรือการกว้านซื้อโดยทางอ้อมผ่านตลาดทุนที่ซุ่มทำมาก่อนยาวนาน นี่คือ การสูญเสียธุรกิจของทุนไทยที่พ่ายตัวเองมาเป็นลำดับ เพราะการไม่ยอมปรับตัวหรือเปลี่ยนการบริหารเป็นแบบมืออาชีพเป็นจุดอ่อนสำคัญ กับนิสัยมักง่ายพฤติกรรมของนักธุรกิจไทยที่ “นิยมการรวยง่าย รวยสบาย” ทำให้เป็น “ศิลปินเดี่ยว” หรือ “นอมินี” ราคาแพง แต่แล้งพลังสามัคคีและไม่มีจุดหมายร่วมเพื่อประเทศ จากยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ นับเป็นปฐมเหตุทำให้สิ่งแวดล้อมไทยเสียหาย โครงสร้างความเป็นเจ้าของธุรกิจระหว่างไทยกับต่างชาติเปลี่ยนไป พร้อมกับการเกิดการเรียกร้องให้ต้องเพิ่มขยายสาธารณูปโภคและพลังงาน ซึ่งก็จะยิ่งผูกเงื่อนการพึ่งพาให้ต้องเพิ่มสูงขึ้น กับทำให้ต้องพึ่งพากันโดยกู้ยืมต่างชาติจนหนี้ประเทศสูงขึ้น ส่วนนี้คือ ขั้นตอนการรุกและเข้ากลืนกินเศรษฐกิจด้านที่เป็น HARDWARE หรือ INFRASTRUCTURE จนมีอำนาจเหนือเศรษฐกิจ การค้าและการเมืองของเจ้าของประเทศที่แย่งชิงกันเข้ามาดูแลโครงการ ซึ่งภาพรวมความเสียหายคือ การสูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ นั่นเอง ลำดับสุดท้าย คือ ขั้นตอนการขยายอิทธิพลเข้าครอบคลุมการดำเนินงานของประเทศท้องถิ่น ด้วยการสอดแทรกและเข้าไปมีอำนาจกำกับเพื่อยึดครองผ่านคนของตน ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ นานา โดยเฉพาะ “การตีฟองปั่นราคา” เริ่มจากการเปลี่ยนทัศนคติและความคิดของทรัพยากรคนในประเทศ โดยใช้การเงินอนาคตกับการสื่อสารแบบสันทนาการเป็นเครื่องมือมอมเมา เพื่อสร้างนิสัย “พฤติกรรมบริโภคนิยม” เพื่อระบายสินค้า มากกว่าการสร้างปัญญาความรู้ ทำให้มีการใช้จ่ายเกินตัว กลายเป็นลูกค้าใหม่จ่ายบัตรเครดิตจนกลายเป็นหนี้ครัวเรือน รวมถึงการใช้เวลาหาความบันเทิงมากขึ้น ในอีกด้านของเศรษฐกิจ หลังจากกุมเงินทุนและอุตสาหกรรมกับบริการหลักได้ ก้าวต่อไปคือ การใช้ชื่อไทยในการขยายผลเข้าไปประเทศรอบด้าน โดยการทำให้ค่าเงินให้แข็งเพื่อใช้เงินบาทซื้อกิจการและวัตถุดิบของประเทศข้างเคียงได้มากและในราคาถูก ทำให้เกิดการประสานข่ายเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่สมบูรณ์ขึ้น โดยอยู่ในกำกับอย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ทำการปั่นราคาสินค้าพื้นฐาน เพื่อรวบรวมผลผลิตเพื่อใช้ดำเนินการอย่างมีอิทธิพลเหนือในตลาดอนาคต การที่ราคาข้าวและสินค้าราคาเพิ่ม จึงไม่ใช่เป็นโดยธรรมชาติ เนื่องจากชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่หมายเข้ายึดครองไทยทางเศรษฐกิจ ได้มีการซุ่มเตรียมตัวมานานแล้วใน “ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า” พร้อมกับ การหาประโยชน์จากสัญญา เอฟ ที เอ ที่สามารถเข้ามาขายในราคาใหม่ โดยได้ประโยชน์ภาษีนำเข้า แล้วเก็บบาทแข็งไปใช้ได้มากขึ้น ด้วยสภาวะที่ติดตามมาดังกล่าว สภาพประเทศในสายตาผมขณะนี้ กำลังถูกชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่ปักหลักสร้างฐานไว้แล้วปั่นราคาหาประโยชน์ ทำให้คนไทยตกเป็นเบี้ยล่าง กลายเป็นพลเมืองของเศรษฐกิจโลกใหม่ที่มีโอกาสบริโภคมากขึ้น พร้อมกับการขายบริการแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น การหวังเติบโตอย่างแข็งแรง และยั่งยืน พร้อมกับมีศักดิ์ศรีและมีจิตวิญญาณในความเป็น “ชนเสรี” เจ้าของประเทศจึงค่อยๆ หมดไป เหตุทั้งหลายเกิดจากเพราะ ความเป็นจริงที่ว่า แต่ไหนแต่ไรมา ผู้นำและนักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่คือ “มือปืนรับจ้าง” และ "การเมืองไทยอย่างดีนั้น เป็นได้ก็แค่ นอมินี" เท่านั้น